PMC เคาะราคา IPO หุ้นละ 1.82 บาท เปิดจอง 3-5 ก.ย. หลังให้สิทธิผู้ถือหุ้น SELIC ก่อน 29-30 ส.ค. และ 2 ก.ย.

4773 จำนวนผู้เข้าชม  | 

PMC เคาะราคา IPO หุ้นละ 1.82 บาท เปิดจอง 3-5 ก.ย. หลังให้สิทธิผู้ถือหุ้น SELIC ก่อน 29-30 ส.ค. และ 2 ก.ย.



นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 115.715 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 1.82 บาท จากราคาพาร์ที่หุ้นละ 1 บาท โดยจะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทแม่ บมจ. ซีลิค คอร์พ (SELIC) ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้น จำนวน 34.715 ล้านหุ้น จองซื้อเป็นลำดับแรก ช่วงระหว่างวันที่ 29-30 สิงหาคม และ 2 กันยายน ก่อนเปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน เป็นลำดับถัดไป ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 5 ราย ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) บมจ. หลักทรัพย์ ดาโอ ประเทศไทย (DAOL) บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (CGSI) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) และบริษัทหลักทรัพย์ หลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ (SBITO) ก่อนเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) วันที่ 11 กันยายนที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ การตั้งราคา IPO ที่ 1.82 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 17.40 เท่า เมื่อคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ถึงไตรมาส 2 ปีนี้ ต่ำกว่าคู่แข่งในต่างประเทศ และต่ำกว่า P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และอุตสาหกรรมค้าปลีก ซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจผลิตฉลากสินค้า หรือสติ๊กเกอร์ป้ายราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และบรรจุภัณฑ์ ที่อยู่ที่ 19.4 เท่า และ 25.0 เท่า ตามลำด้บ อีกทั้งยังสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ในฐานะผู้นำธุรกิจผลิตสติ๊กเกอร์รายใหญ่ลำดับที่ 5 ของประเทศ ด้วยยอดขายสติ๊กเกอร์ปีละกว่า 57 ล้านตารางเมตร จากฐานลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจส่งคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง (Active Customer)  กว่า 700 ราย และโอกาสเติบโตในอนาคต หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยการนำเงินระดมทุนไปใช้ขยายกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์จากปีละ 75 ล้านตารางเมตร เป็น 185 ล้านตารางเมตร รวมถึงขยายศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น รวมถึงชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน เพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างโดดเด่นและยั่งยืน

ขณะที่นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PMC เสริมว่า บริษัทฯ พร้อมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนหลังหักค่าใช้จ่ายราว 210.6 ล้านบาท ไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงินส่วนหนึ่ง และใช้ลงทุนสายการผลิตใหม่ รวมกันประมาณ 180-190 ล้านบาท คาดว่าสายการผลิตใหม่จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสแรกปีหน้า ทำให้มีกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์เพิ่มขึ้น 110 ล้านตารางเมตร เป็นปีละ 185 ล้านตารางเมตร ใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของประเทศ ส่วนที่เหลือ 20-30 ล้านบาท นำไปใช้ขยายศูนย์กระจายสินค้าในอินโดนีเซีย และเวียดนาม เพิ่มเติมจากที่สิงคโปร์ และมาเลเซีย รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ เพราะสติ๊กเกอร์เปล่าสามารถต่อยอดการใช้งานปได้ในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Barcode) สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) ฝาบิดบรรจุภัณฑ์ (Sealing Sticker) ยกระดับธุรกิจสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน ด้วยยอดขายระดับ 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้า

 

 


 


สำหรับผลดำเนินงานของบริษัทฯ 3 ปีล่าสุด (ปี 2564-66) บริษัทฯ สามารถรักษาฐานรายได้จากการขายเกิน 820 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 มีรายได้จากการขายที่ 834.4 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 874.3 ล้านบาท และลดลงมาที่ 824.7 ล้านบาท ในปี 2565 และ ปี 2566 ตามลำดับ แต่ผลกระทบจากราคาเยื่อกระดาษ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในสัดส่วน 50% ของต้นทุนทั้งหมด และราคาฟิล์มพลาสติก ที่ปรับตัวสูงตั้งแต่ปี 2564 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังถูกกดดันจากค่าเงินบาทอ่อน กดดันให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลง ฉุดให้กำไรสุทธิลดลงเป็นลำดับ จาก 41.1 ล้านบาท ในปี 2564 ลงมาที่ 18.0 ล้านบาท และ 17.4 ล้านบาท ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ราคาเยื่อกระดาษ และราคาฟิล์ม เริ่มปรับอ่อนตัวลงตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2566 ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็นลำดับ จาก 15.4% ในครึ่งแรกปีก่อน ขึ้นมาอยู่ที่ 17.1% ในสิ้นปีก่อน และเพิ่มขึ้นมาเป็น 19.8% ในครึ่งแรกปีนี้ พร้อมกับหนุนให้กำไรสุทธิครึ่งแรกปีนี้ เติบโตก้าวกระโดด 2,300% มาอยู่ที่ 24 ล้านบาท ทั้งที่รายได้จากการขายเพิ่มเพียง 2.7% มาอยู่ที่ 432.1 ล้านบาท

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้