4469 จำนวนผู้เข้าชม |
นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก (GBS) ในฐานะผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ (MPJ) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 53 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.5% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 6 บาท จากราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 28 – 30 ตุลาคมนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 4 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) บมจ. หลักทรัพย์ กรุงศรี (KSS) บมจ. หลักทรัพย์ ดาโอ ประเทศไทย (DAOL) และ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) คาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) วันที่ 6 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ การตั้งราคา IPO ที่ 6 บาท พิจารณาจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ถึงไตรมาส 2 ปีนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 13.65 เท่า ซึ่งเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน ในฐานะผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร ครอบคลุมการให้บริการขนส่งทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 16 ปี รวมถึงมีการให้บริการลานตู้คอนเทนเนอร์ และการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากท่าเรือ แหลมฉบังเชื่อมโยงการขนส่งทางบก ขยายฐานรายได้ให้เปิดกว้างมากขึ้น
ด้านนายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ (Capital One) ที่ปรึกษาการเงิน เสริมว่า MPJ มีจุดเด่นหลายด้าน ทั้งการให้บริการลานตู้คอนเทนเนอร์ และขนส่งด้วยฟลีทรถบรรทุกหัวลากมากถึง 237 คันช่วยให้สามารถให้บริการและควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการร่วมทุนกับสายเรือระดับโลก OOCL และ COSCO ซึ่งทำธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนาน สนับสนุนให้บริษัทฯ มีปริมาณธุรกิจที่มั่นคงและต่อเนื่อง และพร้อมเติบโตตามการขยายตัวของการส่งออกและนำเข้า รวมถึงการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขณะที่การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจให้แข็งแกร่งมากขึ้น
ส่วนนายจีระศักดิ์ มานะตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MPJ ชี้แจงว่า การระดมทุนครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างดี จากการลงทุนซื้อรถบรรทุกหัวลาก และอุปกรณ์สำหรับธุรกิจลานตู้คอนเทนเนอร์ ตลอดจนพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรองค์กร (ERP) อีกส่วนหนึ่งนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนรับโอกาสการลงทุนต่างๆ ในอนาคต พร้อมกับชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน หนุนให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง ช่วยผลักดันให้ความสามารถทำกำไรสูงขึ้น และสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
สำหรับโครงสร้างรายได้ สามารถแบ่งได้เป็นรายได้จากการทำธุรกิจให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ด้วยรถหัวลากเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบัง และสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการพักสินค้าเพื่อตรวจปล่อยสินค้าขาเข้าและบรรจุสินค้าขาออกที่ขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์ นอกเขตทำเนียบท่าเรือ และยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างการขนส่งระหว่างประเทศทางทะเลระหว่างท่าเรือ มาสู่การขนส่งทางรางรถไฟ เพื่อกระจายสินค้าไปทั่วประเทศและข้ามเขตพรมแดน จากกองรถบรรทุกหัวลาก 237 คัน และหางพ่วง 268 คัน
ขณะที่การให้บริการตู้คอนเทนเนอร์ และจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการให้เช่าคลังสินค้า จะดำเนินการผ่านบริษัทย่อย 2 แห่ง คือ เอ็มพีเจ แวร์เฮ้าส์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MPJWD) และบริษัท เอ็ม พี เจ ดีสทริบิวชั่น เซ็นเตอร์ (MPJDC)
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากงบการเงินช่วงครึ่งแรกปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 38.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 23.61% ตามการเติบโตของรายได้จากการให้บริการรวมที่เพิ่มขึ้น 6.72% มาอยู่ที่ 456.22 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจขนส่ง 51% ตามมาด้วยธุรกิจบริหารลานตู้คอนเทนเนอร์ 32.4% และธุรกิจให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ 14.5% ที่เหลือ 2.1% มาจากธุรกิจคลังสินค้า