ทิสโก้ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนพันธบัตรสหรัฐฯ ลดหุ้นชั่วคราว เพราะมี 3 ปัจจัยเสี่ยงกดดันเกือบทั้งปี 2566

2864 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ทิสโก้ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนพันธบัตรสหรัฐฯ ลดหุ้นชั่วคราว เพราะมี 3 ปัจจัยเสี่ยงกดดันเกือบทั้งปี 2566


ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แทนหุ้น เพราะปัจจุบันให้ผลตอบแทน (Yield) ราว 3.8% แต่ในอนาคต มีโอกาสได้ผลตอบแทนจากกำไรจากการตีราคา (Capital gain) เพิ่มอีก หากอัตราผลตอบแทนเริ่มปรับลดลงในปีหน้า ทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้สูงถึง 6-8%

ขณะที่ตลาดหุ้น เนื่องจากปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง และไม่ได้สะท้อนความเสี่ยงจาก 3 ปัจจัยหลัก ที่นักลงทุนอาจคาดไม่ถึง หรือหลงลืมไป ว่า เป็นปัจจัยที่อาจกดดันให้ตลาดลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ ได้แก่ 

ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอย โดยตัวชี้วัดต่างๆ เริ่มสะท้อนภาพเศรษฐกิจถดถอยที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เช่น Yield curve ของสหรัฐฯ ที่ติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี และดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ที่พลิกกลับมาอยู่ในแดนหดตัวต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน แต่บรรดานักวิเคราะห์กลับยังคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ยังเติบโตในปีหน้าได้ราว 7% ในปีหน้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และมีความเสี่ยงที่อาจเห็นการปรับประมาณการกำไรลดลงอีกมาก 

ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะลดลงช้ากว่าที่คาด โดยปัจจุบันตลาดคาดว่าจะเห็นเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงไปอยู่ระดับ 3% ปลายปีหน้า แต่ TISCOESU ประเมินว่ามีโอกาสที่เงินเฟ้อจะยืนสูงกว่านั้น เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านค่าจ้าง ยังขยายตัวในระดับสูงถึง 5% ท่ามกลางตลาดแรงงานที่ยังตึงตัว ขณะที่เงินเฟ้อในหมวดที่อยู่อาศัยยังขยายตัวสูงถึง 7% กดดันให้ความคาดหวังที่จะเห็น Fed กลับมาลดดอกเบี้ยให้มีความเป็นไปได้ยากขึ้น และทำให้ตลาดหุ้นที่ปัจจุบันเทรดที่ P/E ค่อนข้างสูง มีโอกาสจะปรับฐานอีกครั้ง

ความเสี่ยงจากการถอดถอนสภาพคล่องของธนาคารกลาง ซึ่งปัจจุบัน Fed เป็นธนาคารกลางหลักเพียงแห่งเดียวที่มีการถอดถอนสภาพคล่องออกจากตลาดเดือนละประมาณ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ปีหน้าน่าจะเห็นธนาคารกลางอื่นๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางยุโรป และอังกฤษ เริ่มดำเนินการไปพร้อมกับ Fed ด้วย ทำให้สภาพคล่องมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นกว่าปีนี้ และเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดหุ้นยังคงผันผวนต่อเนื่อง 

"ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นมา 15% จากจุดต่ำสุดของปี และค่า P/E ของตลาดกลับมาเทรดในระดับค่อนข้างสูงที่ราว 18 เท่า ผลจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ได้ผ่านจุดสูงสุด และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7% ทำให้ตลาดเริ่มมีความหวังว่า ปัญหาเงินเฟ้อจะคลี่คลายลง และ Fed จะสามารถกลับมาลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ในปีหน้า และเอื้อให้ตลาดหุ้นกลับตัวเป็นขาขึ้นในระยะยาว ซึ่งเป็นการมองโลกสวยเกินไป เพราะในความเป็นจริง หุ้นขึ้นท่ามกลางความเสี่ยง จึงไม่ควรมองบวกมากเกินไป” นายคมศร ประกอบผล หัวหน้า TISCOESU ชี้ประเด็น 

ความเสี่ยงจากทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ประเมินเป้าหมายดัชนี S&P500 ปีหน้า เพียงแค่ 4,000 จุด

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้น สามารถรอจังหวะเข้าทยอยสะสมอีกครั้ง เมื่อดัชนี S&P 500 ลงมาต่ำกว่า 3,600 จุด โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ซึ่งกำไรไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจและเติบโตได้ในระยะยาว และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลงมามาก และมีแนวโน้มฟื้นตัวในภาวะที่ Bond Yield เป็นขาลง

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้