โลกในมุมมอง Value Investor

530 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โลกในมุมมอง Value Investor

ช่วงเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เกิด "กระแสใหม่" ที่ร้อนแรงมากในการลงทุนหรือควรจะเรียกว่า "เล่นหุ้น" มากกว่า นั่นก็คือ การที่หุ้นโดยเฉพาะหุ้นตัวเล็กหลายๆ ตัวมีราคาเพิ่มขึ้นมากในเวลาอันสั้น บางวันหุ้นตัวเล็กถึง 4-5 ตัวมีราคาขึ้นไปชนซิลลิ่ง หรือ 30% โดยที่ไม่ได้มีข่าวอะไรพิเศษ นอกจากนั้น หุ้นอีกจำนวนไม่น้อยก็วิ่งขึ้นไปมากกว่า 10% ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น หุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว

จริงอยู่ ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นรับอานิสงค์จากการที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ประกาศมาดีขึ้น เช่นเดียวกับหุ้นพลังงานที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทเล็กๆ มากนัก ดังนั้น ทำไมอยู่ๆ หุ้นเล็กหลายๆ ตัวก็วิ่งขึ้นไปเร็วมาก และดูเหมือนว่าหลายๆ ตัวจะวิ่งต่อเนื่องไปหลายๆ วัน จนราคาขึ้นไปหลายเท่าตัว ภายในเวลาไม่กี่วัน

คำตอบของผมอยู่ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เริ่มเกิดโควิด-19 ใหม่ๆ เมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้ว เริ่มตั้งแต่นักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมาก อาจจะเป็นล้านคน  "แห่" กันเข้าตลาดหุ้น เพราะเห็นว่าในภาวะที่ "ยากลำบาก" และไม่รู้จะทำอะไรดี แต่มีเงินสดเหลืออยู่มาก ตลาดหุ้นน่าจะ "ตอบโจทย์" ได้ดีที่สุด นั่นทำให้ดัชนีตลาดหุ้นที่ย่ำแย่มาหลายปีปรับตัวขึ้น ทั้งๆ ที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจตกต่ำลงมาก แต่หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้นกลุ่มอื่น โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ก็คือ "หุ้นตัวเล็ก" ที่โตขึ้นมาก บางตัวปรับตัวขึ้นไปหลายๆ เท่า หรือหลายสิบเท่า ภายในเวลาปีเดียว นั่นเป็นเพราะนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อย และส่วนใหญ่ก็ไมได้สนใจในเรื่องของพื้นฐานและมูลค่าของกิจการในการลงทุนเข้าไปซื้อ เพราะเห็นว่าหุ้นวิ่งขึ้นไปได้ง่ายและเร็วกว่าหุ้นตัวใหญ่

แต่หุ้นที่เป็นตัว "จุดชนวน" ให้เกิดกระแสที่ผมอยากจะเรียกว่าการ "ปั่นหุ้น" เพราะทำให้หุ้นมีราคาผิดจากที่ควรจะเป็นมาก น่าจะเป็นหุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงโควิด เช่น ถุงมือยาง และชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์บางอย่าง ซึ่งหุ้นเหล่านั้นถูกซื้อจนราคาขึ้นไปสูงจนไม่น่าเชื่อ จากหุ้นขนาดกลางๆ และไม่ติด 50 อันดับแรกของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่และยักษ์ที่สามารถท้าทายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศได้ โดยที่เหตุผลนั้น นอกจากเรื่องของผลประกอบการที่น่าจะดีขึ้นมากแบบ "ชั่วคราว" แล้ว ก็คือการที่หุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ขาย แม้ว่าราคาจะขึ้นไปมาก ทำให้หุ้นที่หมุนเวียนในตลาดมีน้อยกว่าความต้องการซื้อมาก ส่งผลให้หุ้นถูก "Corner" และทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบ "หลุดโลก"

บทเรียนการ Corner หุ้นที่มี Story หรือมีเรื่องราวว่าจะมีผลประกอบการเติบโตแบบ "ก้าวกระโดด" นั้น น่าจะทำให้นักลงทุนรายใหญ่บางคนในตลาดหุ้นไทย หรือรายที่ไม่ได้ใหญ่มากแต่เน้นแนวเก็งกำไรที่มีอยู่มาก โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 สนใจจะทำบ้าง เพราะเห็นแล้วว่าสามารถจะขับเคลื่อนราคาหุ้นได้มหาศาลแทบจะไม่จำกัด โดยที่กระบวนการและวิธีที่จะเข้าไปทำนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ผิดกฎหมายการปั่นหุ้น ดังนั้น  การ Corner หุ้นตัวเล็กก็เกิดขึ้น เพราะเป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย ใช้เงินไม่มาก และมีโอกาสที่จะดึงดูดนักเล่นหุ้นรายย่อย รวมถึงที่เป็นคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาร่วมได้ง่าย ผลของการทำในช่วงแรกนั้นได้ผลตามคาดหรือต้องบอกว่าเกินคาดมาก หุ้นบางตัวที่ถูก Corner มีราคาหรือมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่เคยเป็นหุ้นตัวเล็กมีมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทระดับร้อยหรือพันล้านบาทกลายเป็น "หุ้นแสนล้าน" บาท ในเวลาไม่กี่เดือน คนหรือกลุ่มคนที่เข้าไปทำปฏิบัติการนี้โดยใช้เงินแค่ 10 หรือ 100 ล้านบาท อาจกลายเป็นมหาเศรษฐีหุ้นพันหรือหมื่นล้านบาทไปแล้วก็ได้

และนั่นก็นำไปสู่หุ้นตัวต่อๆ ไป โดยนักเล่นรายใหญ่ และ/หรือ กลุ่มนักเล่นรายกลางๆ อื่นๆ ที่เห็นว่าการทำ Corner หุ้น โดยเฉพาะที่เป็นตัวเล็กนั้น "ทำได้ไม่ยาก" และน่าจะได้กำไรมหาศาล ขอให้มีคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งผมคิดว่าอย่างน้อยจะต้องเป็นดังต่อไปนี้

ข้อแรก หุ้นที่หมุนเวียนในตลาดจะต้องมีสัดส่วนน้อย เช่น 25-30% ของหุ้นทั้งหมด และคิดเป็นเม็ดเงินก็ไม่ควรจะมาก เช่นไม่เกิน 300 ล้านบาท จาก Market Cap. 1,000 ล้านบาท ในตอนเริ่มต้น โดยที่ผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นจะไม่ขาย แม้ว่าราคาจะขึ้นไปมาก ซึ่งจะต้องมีเหตุผลมั่นใจพอสมควร ในหลายกรณีนั้นอาจจะเป็นเพราะมีการตกลงกันก่อนว่า จะไม่ขายอย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง หรือจนกว่าหุ้นจะขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง เป็นต้น การที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่จะรักษาสัญญานั้น ก็เป็นเพราะตนเองจะได้ประโยชน์มหาศาล จากการที่ราคาหุ้นขึ้นไป ถ้ารีบขายก่อนหุ้นก็อาจจะสะดุดและตกกลับลงมา ดังนั้นเขาจึงไม่ขาย  เผลอๆ ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายอาจจะเป็นคนเริ่มหรือชวนคนอื่นมาเล่นด้วยซ้ำ

ข้อสอง เป็นบริษัทที่อยู่ในธุรกิจหรือผู้บริหารกำลังเริ่มเข้าไปทำธุรกิจ "แห่งอนาคต" ที่จะสามารถทำกำไรแบบ "มโหฬาร" ได้ ไม่ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ไม่สำคัญ  เพราะเรื่องของ "สตอรี่" นั้น คนไม่สนใจเรื่องโอกาสความเป็นไปได้ว่าจะมีกี่เปอร์เซ็นต์ วัตถุประสงค์ก็คือ "หาสตอรี่ให้กับคนที่อยากจะเชื่อ" อยู่แล้ว  ตัวอย่างตอนนี้ก็เช่นเรื่องของการลงทุนซื้อ-ขาย หรือการทำเหมืองขุดบิทคอยน์ เป็นต้น สำหรับประเด็นนี้ ถ้าจะให้มีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น ก็คือ บริษัทกำลังมีผลประกอบการดีขึ้นหรือมีฐานะการเงินที่ดีพอที่จะเข้าไปทำภารกิจแห่งอนาคต "ได้อย่างแน่นอน"

ข้อสามก็คือเรื่องของการ Execute หรือการลงมือปฏิบัติ ผมคิดว่าการทำเป็น "กลุ่ม" หรือ "ก๊วน" ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนั้น จะมีความปลอดภัยที่จะไม่ถูกตรวจสอบจากทางการได้  นั่นหมายถึงว่า เส้นทางเงินจะต้องเป็น "ของใครของมัน" ไม่มีการใช้ Nominee หรือตัวแทนในการซื้อขาย จำนวนสมาชิกก็ต้องมีหลายคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวพันทางสายเลือด หรือทางกฎหมาย แม้แต่การซื้อขายนั้น ผมก็คิดว่าต้องไม่ได้สั่งจากคนคนเดียว กล่าวให้ชัดคือ มันน่าจะเป็น "Conspiracy Theory" คือ ทุกคนอาจจะมีแค่เป้าหมายที่ตรงกัน นั่นคือ การทำ Corner หุ้น

ส่วนในทางปฏิบัตินั้น น่าจะมีความยืดหยุ่นพอสมควรที่จะทำให้ทางการไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการร่วมมือกันทำ ประเด็นสำคัญผมคิดว่าอยู่ที่ช่วงเริ่มต้น "จุดพลุ" ให้นักเล่นส่วนบุคคลโดยเฉพาะรายย่อยเข้ามาร่วม หลังจาก "จุดติด" คือ มีคนเข้ามาสนใจและร่วมเล่นมากพอ และหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างแรงและเกิด "ปฏิกิริยาลูกโซ่" คือ มีรายใหม่เข้ามาเล่นต่อกันไปแล้ว คนเริ่มทำก็อาจจะหยุดและรอทำขั้นต่อไป  นั่นก็คือ

ข้อสุดท้าย การทำ Maintenance หรือ คอยประคองราคาและปริมาณการซื้อขายต่อเนื่องเพื่อค่อยๆ "ออกของ" หรือทยอยขายหุ้นในราคาที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในกระบวนการนี้ ผมคิดว่าพวกเขาจะต้องคอยติดตามหุ้นอย่างใกล้ชิด แต่จะทำต่อเมื่อพบจังหวะที่การซื้อหรือขายอาจจะไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นตกลงมาแรง จนทำให้คนตกใจและขายตาม ในช่วงนี้ บ่อยครั้งหุ้นจะค่อยๆ ซึมลง และอาจทยอยตกลงมาอย่างช้าๆ ติดต่อกันหลายๆ วัน หน้าที่ของคนที่ดูแลหุ้นก็คือ จะต้อง "ลากหุ้น" กลับมาอย่างแรงถึงจุดเดิมหรือใกล้กับจุดเดิมเพื่อจะทำให้คนที่ขายไปเสียดาย และทำให้คนที่อยากจะขายก็จะไม่ขายตอนที่หุ้นตก เพราะคิดว่าถือหุ้นไว้ดีกว่าเพราะเดี๋ยวมันก็จะขึ้นกลับมา อะไรทำนองนี้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ดูแลไม่ให้ "กราฟ" เสีย

ทั้งหมดนั้น คือภาพของกระบวนการที่ผมคิดว่าจะเป็น จากการสังเกตพฤติกรรมที่ปรากฏของหุ้น และการรับรู้ว่ายุคนี้มีนักลงทุนประเภทไหนเข้ามาเล่นในตลาดหุ้นบ้าง ประกอบกับการวิเคราะห์จิตวิทยาของมนุษย์ว่า คิดหรือทำอะไรหรืออย่างไรกับการเก็งกำไร ผมเองก็ไม่ได้มั่นใจว่า "นักปั่นตัวจริง" ทำอย่างนั้นทั้งหมดหรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าหุ้นมีคนปั่นแน่นอน และผลที่ออกมาก็แน่นอนเพราะประวัติศาสตร์มันฟ้อง

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หุ้นที่ถูก Corner นั้น ในที่สุด (ซึ่งบางครั้งอาจกินเวลาเป็นปีหรือหลายปีหลังจากที่หุ้นขึ้นไปสูงสุด) มักจะตกกลับลงมา อาจใกล้เคียงราคาเดิมก่อนจะขึ้น ถึงตอนนั้น หุ้นตัวนั้นก็มักจะ "หมดอนาคต" หุ้นแน่นิ่งไม่มีคนสนใจไปอีกนาน คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องต่างก็แยกย้าย คนที่เป็น "เจ้ามือ" หรือคนทำอาจจะรวยไปเลย แต่คนเล่นส่วนใหญ่มักจะขาดทุน บางคนอาจจะ "เจ๊ง" จากหุ้นตัวนั้น และทุกคนก็จะมองหา "หุ้นเป้าหมาย" ตัวใหม่เล่น จนกว่าจะหมด "เทศกาลปั่นหุ้น" ในรอบนี้

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้