PIS เคาะราคา IPO ที่ 3 บาท เปิดจอง 9-13 ม.ค. นี้ ก่อนเข้าซื้อขายวันแรก 20 ม.ค.

3385 จำนวนผู้เข้าชม  | 

PIS เคาะราคา IPO ที่ 3 บาท เปิดจอง 9-13 ม.ค. นี้ ก่อนเข้าซื้อขายวันแรก 20 ม.ค.


นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล (Siam Alpha Capital) ที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. โปร อินไซด์ (PIS) เปิดเผยว่า เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 3 บาท จากราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 9 - 10 และ 13 มกราคมนี้ ผ่าน บมจ. หลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด (KFS) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย แต่ไม่รับประกันการจำหน่าย และผู้ร่วมจัดจำหน่าย แต่ไม่รับประกันการจัดจำหน่าย อีก 2 ราย ประกอบด้วย บมจ. หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) และบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ (LIB)

ที่พิเศษกว่านั้น ทาง LIB พร้อมเปิดให้นักลงทุนสามารถจองซื้อหุ้นได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ในช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ที่ 11 – 12 มกราคมนี้ อีกด้วย คาดว่า จะพร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) วันที่ 20 มกราคมที่จะถึงนี้ 

ด้าน ดร. วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ KFS ชี้แจงว่า การตั้งราคา IPO ที่ 3 บาท ใช้วิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) โดยพิจารณาจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2566 ถึงไตรมาส 3 ปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 18.75 เท่า ถือได้ว่าสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงโอกาสการเติบโตที่สูงจากการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งเพิ่มโอกาสคว้างานประมูลโครงการจากภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจที่มีการเปิดประมูลต่อเนื่องทุกปี ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ เพื่อยกระดับความอยู่ดีมีสุขของประชาชน และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

ส่วนนางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PIS เสริมว่า พร้อมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้วางเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน เพื่อขอออกหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee) ให้กับงานโครงการ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการ เพิ่มโอกาสในการรับงาน ทั้งงานโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าสูงขึ้น และการรับงานโครงการภาครัฐและเอกชนในปริมาณที่มากขึ้น เป็นมากกว่า 2,000 ล้านบาท เทียบกับที่ทำได้ 500 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ ผลักดันให้ผลดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอัจฉริยะ ทำให้สามารถนำเสนอโซลูชั่นคุณภาพ พร้อมการให้บริการแบบมืออาชีพ สร้างความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด ทำให้เชื่อมั่นว่า นักลงทุนจะให้การตอบรับอย่างดีเยี่ยม

ขณะที่ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม 988.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.38% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เกิดจากการเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai จึงกดดันให้อัตรากำไรสุทธิลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง 19.92% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 67.88 ล้านบาท
 


Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้