INVX คัด 12 หุ้นไทยควรมีติดพอร์ต ในปี 2568 คาดสร้างผลตอบแทนได้ 28%

7375 จำนวนผู้เข้าชม  | 

INVX คัด 12 หุ้นไทยควรมีติดพอร์ต ในปี 2568 คาดสร้างผลตอบแทนได้ 28%


ภาพรวมของการลงทุนในตลาดการเงินโลกปี 2567 จัดได้ว่าเป็นปีทองของตลาดหุ้นสหรัฐฯ, ตราสารหนี้, ทองคำ และ สินทรัพย์ดิจิตอล ซึ่งได้ปัจจัยหนุน ทั้งการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตได้ดีกว่าคาด ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2566 อีกทั้งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ถึงแม้ตลาดจะฟืนตัวได้ดีในเดือนกันยายนก็ตาม แต่ภาพทั้งปีกลับไม่สดใส ดูได้จากดัชนีตลาดที่แกว่งตัวต่ำกว่าระดับ 1,500 จุด ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ลดลงเหลือเพียงวันละ 4.5 หมื่นล้านบาท ทำสถิติต่ำที่สุดในรอบ 9 ปี อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องจากปี 2566 รวมกันกว่า 3 แสนล้านบาท บ่งชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่น 

สำหรับภาพรวมปี 2568 สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอ็กซ์ (INVX) เชื่อว่า จะมีลักษณะผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ จากปัจจัยท้าทายเรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลก รวมถึงวาทะของผู้นำสหรัฐฯ  ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ และกระแสเงินทุนโลกต่อเนื่องไปอีก 4 ปีข้างหน้า รวมถึงการที่ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้ว ทำให้มีโอกาสเกิดการปรับตัวลดลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ผิดคาด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนจะอยู่ในลักษณะการเก็งกำไร (Trading) มากขึ้น

อย่างไรก็ดี การที่แรงกดดันจากดอกเบี้ยสูงลดลง และคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น จะทำให้ตลาดหุ้นน่าสนใจมากกว่าตลาดตราสารหนี้ โดยตลาดที่ยังคงน่าสนใจ ยังคงเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน อินเดีย และเวียดนาม ส่วนตลาดหุ้นไทย น่าจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น สาเหตุจากคาดการณ์กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตจากปีที่ผ่านมาได้ถึง 22% ทำให้ตั้งเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 1,550 จุด 

ซึ่งเมื่อให้คัดเลือกหุ้นลงทุน นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย INVX แนะนำให้มองไปที่หุ้นกลุ่มที่มีการสัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศสูง และเป็นกลุ่มเชิงรับ อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มพาณิชย์ รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากกระแส Data center ซึ่งเป็นธีมลงทุนแห่งอนาคต (Future trend) และน่าจะเห็นการเติบโตในอัตราเร่งมากขึ้น นำโดย หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มสื่อสาร 

โดยเพื่อคงมุมมองระมัดระวังต่อการลงทุน ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงภายนอกรุมเร้า ทั้งการใช้นโยบายการค้าและภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ภาวะเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้า และความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจน รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศ ทำให้กลยุทธ์การลงทุน จะต้องเน้นกระจายพอร์ตลงทุนในหลากหลายธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แบ่งเป็น 4 ธีม ได้แก่ ธีมหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ธีมหุ้นปันผล (Dividend Stocks) ธีมหุ้นที่ยังไม่วิ่ง (Laggard Stocks) และธีมหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Mid-Small Cap Stocks) ซึ่งกำไรมีโอกาสเติบโตดี เปิด upside ให้กับราคา เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนให้

 

 

 

จากการคัดเลือกหุ้นโดดเด่นในแต่ละธีมข้างต้น InnovestX เลือกหุ้น 3 ตัวในแต่ละธีม โดยธีม Value Stocks ประกอบไปด้วย AOT (หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งกำลังเป็นธุรกิจดาวรุ่ง) BBL (หุ้นที่มีราคาถูก คุณภาพดี และยังมีโอกาสเติบโตได้อีก) กับ CPALL (ธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดี)

ส่วธีม Dividend Stocks พุ่งเป้าไปที่ AP BCP และ LHHOTEL ขณะที่ธีม Laggard Stocks ได้แก่ BCH (กำลังจะมีการปลดล็อกปัจจัยกดดัน) HMPRO ( มีโอกาสเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ กับ GPSC (ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง) และธีม Mid-Small Cap Stocks ให้น้ำหนักกับ AMATA (มีโอกาสได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ) AU (มีการขยายธุรกิจเพิ่ม ช่วยสนับสนุนการเติบโต) และ INSET (ได้ประโยชน์จากกระแสการลงทุนในธุรกิจ Data Center)

โอกาสนี้ InnovestX ยังประเมินด้วยว่า หากมีการลงทุนใน 12 หุ้น Top Picks โดยให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากัน ในกรณีปกติ คือ สถานการณ์โดยรวมเป็นไปตามคาด สามารถคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยได้ราว 28% และในกรณีเลวร้ายที่สุด คือ สถานการณ์แย่กว่าคาด อาจเห็นผลตอบแทนติดลบ 20% เมื่ออิงจากความผันผวนของราคาหุ้นแต่ละตัวตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้