ผู้บริหาร SNPS พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจเต็มสูบ ไม่หวั่นราคาหุ้นแกว่งแคบๆ แถวราคาจอง

4384 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ผู้บริหาร SNPS พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจเต็มสูบ ไม่หวั่นราคาหุ้นแกว่งแคบๆ แถวราคาจอง


การเข้าซื้อขายวันแรกของ บมจ. สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ (SNPS) สร้างความหวั่นไหวให้กับนักลงทุนที่ได้หุ้นจองพอสมควร เพราะต้องลุ้นราคาทั้งวัน โดยหลังจากเปิดตลาดที่ 3.90 บาท ต่ำกว่าราคาจองที่ 4.20 บาท ถึง 30 สตางค์ คิดเป็นผลขาดทุน 7.14% เพียง 2 นาทีจากนั้น ราคาเริ่มปรับตัวขึ้นมาเหนือจอง และดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 4.40 บาท ใน 10 นาที หลังจากนั้น ราคาเริ่มไหลลงมาแกว่งใกล้ๆ ราคาจอง และเริ่มต่ำจองในที่สุด ตามแรงขายที่เกิดบางช่วงเวลา แต่ไม่ลงมาเฉียดใกล้ราคาเปิดที่เป็นจุดต่ำสุดของวันอีกเลย เพราะมีแรงซื้อตั้งรับที่บางระดับราคา ส่งผลให้ราคาแกว่งแคบๆ ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาช่วงในครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย และปิดตลาดที่ 4.22 บาท เหนือจอง 2 สตางค์ ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 961 ล้านบาท

และในการซื้อขายวันถัดมา มีแรงซื้อหนุนราคาให้ไต่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ที่ 4.52 บาท ใน 15 นาทีแรกของการซื้อขาย ก่อนจะเผชิญแรงขายทำกำไรกดราคาหุ้นให้ค่อยๆ ปรับตัวลงมาแกว่งในกรอบแคบๆ ใกล้เคียงราคาจองที่ 4.20 บาท และแกว่งในกรอบแคบๆ ระหว่าง 4.10-4.30 บาท ตลอดทั้งสัปดาห์ ตามมูลค่าการซื้อขายรายวัน ที่บางเบาลงไป  

ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร ดร. ธีรญา กฤษฎาพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SNPS ยืนยันว่า พร้อมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีโลก เพื่อก้าวเป็น Soft Power ในการเผยแพร่สมุนไพรไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีการสกัดขั้นสูง Phytoextraction ให้ได้สารสกัดที่มีความบริสุทธิ์มากขึ้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าต่างประเทศ ทั้งในอุตสาหกรรมความงาม อุตสาหกรรมอาหารและยา และลงทุนในการวิจัย พัฒนา และผลิตผลิตภัณฑ์ยาพัฒนาจากสมุนไพร อาหารทางการแพทย์ หรืออาหารที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ลดน้ำตาลในเลือด ปรับสมดุลการย่อยอาหาร สร้างภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการคลื่นไส้วิงเวียน เตรียมทยอยวางตลาดครึ่งหลังปี 2568 รวมถึงการขยายตลาดใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีความต้องการสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เพื่อตอบเทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้าง New S-Curve ที่สำคัญในระยะต่อไป

 

 


 

ขณะเดียวกัน การวางกลยุทธ์การทำธุรกิจ ด้วยการรักษาสายสัมพันธ์ที่ดี และทํางานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ ทำให้บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเดิม และสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ในธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ความงาม และสุขอนามัย ทั้งในรูปแบบ ODM และ OEM เพิ่มเติม เช่น อินเดีย สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ รวมถึงการสรรหาคู่ค้า หรือตัวแทนจำหน่าย เข้ามาทำการตลาดผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ตัวเอง ซึ่งบริษัทฯ มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ปี 2568 นี้ 4-5 ผลิตภัณฑ์ ยังจะเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายฐานรายได้ได้ดีกว่าบริษัทฯ ทำเอง หนุนให้รายได้จากผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ความงาม และสุขอนามัยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ช่วยขับเคลื่อนให้ผลดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดดในระยะสั้น รองรับฐานการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะกลางถึงยาว 

ขณะที่นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น เสริมว่า การวางรากฐานธุรกิจอย่างมั่นคงมาตลอด 25 ปี รวมถึงการเติบโตของเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ถือเป็นเมกะเทรนด์ที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญ ตลอดจนการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐ ที่พร้อมให้การสนับสนุนการพัฒนาสมุนไพรไทย ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ เพื่อผลักดันให้สมุนไพรไทยเป็นที่ยอมรับระดับสากล ประกอบกับการที่ SNPS จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนเทคโนโลยีการสกัดขั้นสูง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาพัฒนาจากสมุนไพร และอาหารทางการแพทย์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ จะทำให้ SNPS มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว จึงเชื่อมั่นได้ว่า SNPS จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย แต่ยังสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับนักลงทุน

สำหรับภาพระยะสั้น ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ 4 สำนัก ได้แก่ หยวนต้า (YUANTA) กรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) โกลเบล็ก (GBS) รวมถึง FSS ประเมินราคาเหมาะสมปีหน้า สูงกว่า 6 บาท เพราะคาดการณ์รายได้จากการขายของ SNPS จะเติบใตเฉลี่ย 3 ปีนี้ (ปี 2567-69) จากการเติบโตเร่งตัวของธุรกิจสารสกัดสมุนไพรมาตรฐานที่บริษัทฯ เห็นช่องว่างทางการตลาด ทำให้รุกขยายไปยังอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูง รวมถึงขยายฐานลูกค้าไปต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ความงาม และสุขอนามัย คาดเติบโตต่อเนื่องทั้ง ODM และ OBM ตามการเติบโตของตลาด อีกทั้งคาดอัตรากําไรขั้นต้นจะขยายตัวสูงกว่า 40% จาก Product mix ที่เกิดจากการจําหน่ายสารสกัด และผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้น หนุนด้วยการประหยัดจากขนาดอันเนื่องจากการใช้กําลังการผลิตมากขึ้น


 

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้