5073 จำนวนผู้เข้าชม |
การเข้าซื้อขายวันแรกของ บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) ไม่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะคนที่ได้หุ้นจอง เมื่อราคาหุ้นยืนเหนือจองได้ตลอดวัน โดยหลังจากเปิดตลาดที่ 2.26 บาท สูงกว่าราคาจองที่ 1.82 บาท ถึง 44 สตางค์ คิดเป็นผลตอบแทน 24.17% หลังจากนั้น มีแรงซื้อดันราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ 2.68 บาท ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงมา แต่ก็ไม่หลุด 2.40 บาท โดยปิดภาคเช้าไปที่ 2.50 บาท ก่อนจะเริ่มปรับฐานลงในภาคบ่าย เมื่อแรงซื้อเริ่มหดหายลงไป ตามภาวะตลาดที่ไม่ค่อยสดใส ส่งผลให้ราคาหุ้นย่อตัวลงเป็นลำดับ และแตะจุดต่ำสุดที่ 1.80 บาท ก่อนจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาช่วงท้ายตลาด ดันราคาขึ้นมาปิดที่ 1.85 บาท เหนือจองแค่ 3 สตางค์ ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉียด 1,488 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การซื้อขายใน 2-3 ว้นทำการถัดมา ซึ่งกระแสสนใจเริ่มเหือดหายลงไป ทำให้ปริมาณการซื้อขายบางเบาไม่ถึง 200 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาหุ้น PMC ปรับตัวลงมาต่ำจอง โดยแกว่งตัวบริเวณ 1.60-1.69 บาท
แต่ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) ที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เชื่อมั่นว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) เพื่อนำเงินระดมทุนไปใช้ขยายกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์จากปีละ 75 ล้านตารางเมตร เป็น 185 ล้านตารางเมตร พร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ต้นปีหน้า รวมถึงการลงทุนขยายศูนย์กระจายสินค้าในอินโดนีเซีย และเวียดนาม เพิ่มเติมจากที่สิงคโปร์ และมาเลเซีย จะสนับสนุนให้บริษัทฯ มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น ทำให้สามารถยกระดับสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน ด้วยยอดขายระดับ 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้าตามแผนที่วางไว้ เข้าข่ายหุ้นที่อยู่ในช่วงเติบโต ทำให้สามารถคาดหวังผลตอบแทนที่ดีได้
ขณะที่นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PMC ยังคงยืนยัน บริษัทฯ ยังคงมีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น ทั้งจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนานกว่า 20 ปี การมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าและพันธมิตร ที่ส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการขยายกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ จะทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำลง และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น เพื่อต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง และฝาบิดบรรจุภัณฑ์ ได้สอดคล้องกับแผนขยายฐานลูกค้าและสร้างความสามารถในการเข้าถึงลูกค้ารายใหญ่ในภูมิภาค ผ่านการขยายศูนย์กระจายสินค้าให้ครบ 5 แห่ง ครอบคลุมตลาดสำคัญๆ ในอาเซียน จะช่วยสนับสนุนความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรในอนาคตให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เฉพาะปีนี้ คาดว่ารายได้จะเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 7-10% หลังจากครึ่งปีแรก บริษัทฯ โชว์กำไรสุทธิเติบโตก้าวกระโดดจากครึ่งแรกปีก่อน 2,300% มาอยู่ที่ 24 ล้านบาท ทั้งที่รายได้จากการขายเพิ่มเพียง 2.7% มาอยู่ที่ 432.1 ล้านบาท