CHAO เคาะราคา IPO ที่ 11.80 บาท เปิดจอง 1-3 ก.ค. ซื้อขายวันแรก 9 ก.ค. นี้

5045 จำนวนผู้เข้าชม  | 

CHAO เคาะราคา IPO ที่ 11.80 บาท เปิดจอง 1-3 ก.ค. ซื้อขายวันแรก 9 ก.ค. นี้


นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บมจ. หลักทรัพย์ กสิกรไทย (KS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี (CHAO) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 87.70 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.20% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 11.80 บาท จากราคาพาร์ที่หุ้นละ 1 บาท ระหว่างวันที่ 1 – 3 กรกฎาคมนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 5 ราย ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ประเทศไทย (MST) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ (TSC) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASPS) ก่อนเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม วันที่ 9 กรกฎาคมที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ การตั้งราคา IPO ที่ 11.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 20.86 เท่า เมื่อคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีที่แล้ว ถึงไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ ในฐานะผู้นำกลุ่มขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนผ่านยอดส่งออกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 216.2 ล้านบาท ในปี 2564 เพิ่มเป็น 343.6 ล้านบาท และ 413.3 ล้านบาท ในปี 2565 และปี 2566 ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 38.26% ขณะที่สามารถครองความเป็นผู้นำตลาดข้าวตัง และขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมูในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งตลาด 78.5% และ 58.2% และยังมีศักยภาพการเติบโตอีกมาก จากการพัฒนาและศึกษาตลาด คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สามารถรับประทานได้ทุกวัน (Everyday Consumption) ขยายฐานตลาดต่างประเทศ พร้อมกับยกระดับแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ก่อนพัฒนาสู่การเป็น Global Brand ในอนาคต   

ขณะที่นางสาวณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHAO เสริมว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างการเติบโตผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ที่ผ่านการวิจัยตลาด เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค ควบคู่ไปกับเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และคงความเป็นผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับวางกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ ขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ และรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ต่างประเทศ ให้เพิ่มจากที่ส่งออกทุกวันนี้แค่ 12 ประเทศ นำโดยอเมริกา จีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และออสเตรเลีย เพื่อยกระดับการเติบโตให้แข็งแกร่งมากขึ้น โดยจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูง และโอกาสเติบโตที่เปิดกว้าง ผลักดันผลดำเนินงานให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากทำได้ตลอด 3 ปีล่าสุด (ปี 2564-66) เมื่อกำไรเร่งตัวจาก 64.4 ล้านบาท เป็น 89.6 ล้านบาท และ 161.6 ล้านบาท ตามลำดับ

 

 


 

ยิ่งการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะในต่างประเทศ พร้อมกับก้าวสู่การเป็น Global Brand ผ่านการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนประมาณ 350-380 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนพัฒนาระบบอัตโนมัติ ปรับปรุงระบบควบคุมคุณภาพ ระบบความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน รวมถึงการลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) การผลิต ตลอดจนขยายกำลังการผลิตข้าวตังรวมแครกเกอร์ธัญพืช ในโรงงานโฮลซัม เพิ่มปีละ 770 ตัน กับขยายกำลังการผลิตข้าวตังรวมหมูแท่ง ในโรงงานเจ้าสัว อีกปีละ 995 ตัน และก่อสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่เนื้อหมู (Non-Pork) อีกปีละ 2,000 ตัน รองรับการขยายตลาดส่งออก กำหนดเปิดดำเนินการปีหน้า

อีก 120 ล้านบาท นำไปชำระหนี้สถาบันการเงิน ที่เหลือ 26-56 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน สนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น   

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้