INVX แนะจับจังหวะซื้อหุ้นที่ดัชนี 1,300 จุด รอลุ้นเงินทุนไหลเข้า หลังเศรษฐกิจโลกและไทยไตรมาส 3 มีสัญญาณฟื้นตัวชัด

5116 จำนวนผู้เข้าชม  | 

INVX แนะจับจังหวะซื้อหุ้นที่ดัชนี 1,300 จุด รอลุ้นเงินทุนไหลเข้า หลังเศรษฐกิจโลกและไทยไตรมาส 3 มีสัญญาณฟื้นตัวชัด

 

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) เปิดเผยว่า การที่เศรษฐกิจโลกไตรมาส 3 มีสัญญาณการฟื้นตัวในภาคการผลิต (PMI) ชัดเจน ส่วนเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวค่อยเป็นค่อยไป ตอกย้ำภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง โดยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งปีนี้ ส่วนธนาคารกลางยุโรป จะลด 3 ครั้งปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจจีนคาดได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นทั้งการเงิน การคลัง และการคลี่คลายปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เรื้อรัง ผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น

สำหรับเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากแรงส่งของภาคส่งออก การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวระดับ 2.5% ในปีนี้ ก่อนขยายตัว 3.0% ในปีหน้า ช่วยผลักดันให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย รวมถึงไทย

 

 

 

ด้านนายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน และนายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ชี้ประเด็นว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย จะหนุนให้ผลดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนไทยมีการเติบโตเด่นชัดขึ้น และขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวกลับขึ้นไปแตะ 1,500 จุดได้ ยิ่งในช่วงที่ผ่านมา หุ้นไทยถูกลดน้ำหนักการลงทุน (underweight) กดดัน Valuation ให้ต่ำสุดในรอบ 4 ปี ยิ่งเพิ่มโอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้ามาได้มากขึ้น เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่มีผลดำเนินงานแย่ที่สุดในภูมิภาค แต่กลยุทธ์การลงทุนจะเปลี่ยนจากการลงทุนหุ้นเติบโต (Growth Stock) มาเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock) และหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ไม่นับรวมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แทน

ดังนั้น การจับจังหวะซื้อสะสมหุ้นปัจจัยพื้นฐาน ที่ดัชนีระดับ 1,300 จุด หรือต่ำกว่า จะเป็นจังหวะลงทุนที่ดี โดยเฉพาะหุ้นปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง นำโดย ADVANC KCE OSP PTTGC และ TU

สำหรับหุ้นต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในไตรมาส 3 คือ กลุ่มซอฟท์แวร์ กลุ่มฮาร์ดแวร์ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มค้าปลีก หุ้นเด่นแนะนำได้แก่ MSFT ORCL AAPL PFE WMT ขณะที่หุ้นยุโรป แนะหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค อย่างIberdrola, Enel ส่วนหุ้นจีน ได้แก่ Tencent Xiaomi Lenovo Trip.com และ AIA

 

 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะภาพการลงทุนจะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะมาจากการรายงานกำไรของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก ขณะที่ตลาดหุ้นจีนมาจากการออกนโยบายเศรษฐกิจในระยะยาว ผ่านการประชุม 3rd Plenum ส่วนตลาดหุ้นยุโรปจะมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากจุดต่ำสุด และแรงส่งจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย

โอกาสนี้ จากนายวิศกรณ์ คีรีวรรณ ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy แนะนำกลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุนในไตรมาส 3 ว่า เน้นกลยุทธ์ ลงซื้อ-ขึ้นขาย ในตลาดสหรัฐฯ และจีน และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นยุโรปและทองคำ แต่ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นเวียดนาม

ส่วนภาพลงทุนระยะกลาง 6 เดือนขึ้นไป อยากเสนอแนะให้นักลงทุนทยอยสร้าง Core portfolio ผ่านการลงทุนกองทุนหุ้นอย่าง KT-GESG-A พร้อมทยอยสะสมกองทุนตราสารหนี้โลก ผ่านกองทุน KFSINCFX-A และเพิ่มผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ด้วยกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อย่าง TMBUSBLUECHIP และกองทุนหุ้นจีน อย่าง SCBCHEQA

อย่างไรก็ตาม การจับจังหวะลงทุนจะต้องจับตาปัจจัยเสี่ยง ด้านภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีนและชาติตะวันตก รวมถึงความเสี่ยงด้านการเมืองไทย ประกอบด้วย

 



 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้