COCOCO หุ้นทางเลือกลดเสี่ยงตลาดขาลง

5116 จำนวนผู้เข้าชม  | 

COCOCO หุ้นทางเลือกลดเสี่ยงตลาดขาลง



หลังจาก บมจ. ไทยโคโคนัท (COCOCO) ประกาศผลดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2567 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ โชว์กำไรสุทธิ 264 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 203% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และเติบโต 8% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่หากตัดรายการพิเศษออกไป กำไรปกติ จะอยู่ที่ 193 ล้านบาท ขยายตัว 144% YoY และ 5% QoQ ตามยอดขายที่เติบโต 60% YoY และประคองตัว QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลของน้ำมะพร้าวที่มักชะลอตัว มาอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วนยอดขายจากน้ำมะพร้าว 46% กะทิ 42% และอาหารสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว 3%

โอกาสนี้ ดร. วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร COCOCO ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส 2 นี้ ผลดำเนินงานมีแนวโน้มจะเติบโตดีขึ้นจากไตรมาสแรก หนุนจากยอดขายน้ำมะพร้าวที่เติบโตอย่างโดดเด่น รับไฮซีซั่นของธุรกิจ และการวางตลาดน้ำมะพร้าวบรรจุภัณฑ์ใหม่ ในรูปแบบ Slim can และขวด PET พร้อมกับเปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ทั้ง Superfood bite Kibble, Tuna premium และแบรด์ใหม่ VetMoo+ และกลุ่ม Plant Base ด้วยไอศครีมแท่งแบรนด์ Sala รสทุเรียน มะม่วง มะพร้าว

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้ารายใหม่ในต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าปัจจุบัน เพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าเดิมในแบรนด์ต่างๆ และกระตุ้นยอดขายสินค้าใหม่ ที่จะทยอยเปิดตัวในทุกแบรนด์ โดยอาศัยผลศึกษาและสำรวจตลาดมาประยุกต์ใช้กับการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลาย และการออกงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้ปีนี้ให้เติบโต 30-40% ตามแผนธุรกิจ 3 ปี ที่ตั้งเป้ายอดขายปี 2569 เติบโตแตะ 10,000 ล้านบาท

 

 

 

 

แผนงานข้างต้น ได้รับการตีความจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ค่ายบัวหลวง (BLS) บียอนด์ (BYD) หยวนต้า (YUANTA) ลิเบอเรเตอร์ (LIB) และไพ (Pi) ว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 มีโอกาสสูงที่จะทำสถิติสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ (All-time high) จากการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมะพร้าวให้เพียงพอกับคำสั่งซื้อที่ได้รับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง (เพิ่มจากปีละ 1.7 แสนตัน ในไตรมาสแรก เป็นปีละ 2.6 แสนตันในไตรมาสสุดท้ายปีนี้) และแผนจัดการวัตถุดิบล่วงหน้า พร้อมแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในไตรมาส 3 จากโอกาสเติบโตในตลาดน้ำมะพร้าวในจีน เห็นได้จากแนวโน้มการนำเข้าน้ำมะพร้าวของประเทศจีนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ มียอดคำสั่งซื้อรองรับแล้วกว่า 80% ของกำลังการผลิต รวมถึงการเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของสหรัฐฯ และยุโรป หนุนด้วยการเริ่มเห็นกำไรจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรกในไตรมาสแรก ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มจาก 25.2% ในไตรมาสแรกปีก่อน และ 26.6% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน เพิ่มเป็น 26.7% ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา และโอกาสขยายตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพที่จะเกิดตามมาในครึ่งปีหลัง ช่วยเพิ่มแรงส่งในระยะกลาง  

สำหรับการประเมินมูลค่าเหมาะสม BLS ให้ราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 14.50 บาท ตามมาด้วย BYD ที่ให้ 15 บาท ส่วน Pi และ YUANTA ให้มูลค่าเท่ากันที่ 15.30 บาท และ LIB ให้สูงสุดที่ 16.30 บาท

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้