MAGURO เคาะราคา IPO ที่ 15.90 บาท เปิดจอง 28-30 พ.ค. พร้อมซื้อขายวันแรก 5 มิ.ย..ในตลาด mai

4842 จำนวนผู้เข้าชม  | 

MAGURO เคาะราคา IPO ที่ 15.90 บาท เปิดจอง 28-30 พ.ค. พร้อมซื้อขายวันแรก 5 มิ.ย..ในตลาด mai


นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. มากูโระ กรุ๊ป (MAGURO) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 34.60 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 27.03% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 15.90 บาท จากราคาพาร์ที่หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 28 – 30 พฤษภาคมนี้ ผ่านบริษัทฯ และ บมจ.หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 5 ราย ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) บมจ. หลักทรัพย์ ดาโอ ประเทศไทย (DAOL) บมจ. หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (TNITY) และบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ (LIB) คาดว่า จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) วันที่ 5 มิถุนายนที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ การตั้งราคา IPO ที่ 15.90 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 27.38 เท่า เมื่อคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนปีที่แล้ว จนถึงวันที่ 31 มีนาคมปีนี้ ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ จากการมี Brand Portfolio ที่โดดเด่น ไล่จากแบรนด์ มากุโระ (MAGURO) ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของลูกค้ามายาวนานกว่า 9 ปี ก่อนจะพัฒนาแบรนด์ใหม่อีก 2 แบรนด์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีไม่ว่าจะเป็น ซัมติง ทูเก็ตเตอร์ (SSAMTHING TOGETHER) ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม และฮิโตริ ชาบู (HITORI SHABU) ร้านชาบูและสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยคุณภาพและรสชาติของอาหาร จนมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ด้วยจำนวนผู้ติดตามบน Social Media มากกว่า 500,000 ราย และมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิก (Membership) กว่า 145,000 ราย และเป็นฐานสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้ถึง 54.36% ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญสำหรับการสร้างแบรนด์ใหม่ในอนาคตของบริษัทฯ ด้วย

นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ ยังมีจำนวนสาขาไม่มาก ทำให้การขยายสาขาจะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตทางธุรกิจได้อีกมาก ดูได้จากการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และความสามารถในการทำกำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ในปีที่ผ่านมา และไตรมาสแรกปีนี้ ที่สูงระดับ 45% และ 26% ตามลำดับ อีกทั้งไม่มีภาระหนี้กับสถาบันการเงิน ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่า บริษัทฯ สามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราที่น่าสนใจได้อย่างสม่ำเสมอ

 
 


ส่วนนางจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี (J Capital) ที่ปรึกษาการเงิน เสริมว่า จากที่ได้ร่วมงานกับผู้บริหาร MAGURO ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะบริหารธุรกิจให้เติบโต โดยอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจร้านอาหารระดับ Premium Mass จนสามารถสร้างเครือข่ายที่แข็งแรง ทั้งในแง่การรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่สูง ทำให้ผลดำเนินงานเติบโดอย่างแข็งแกร่ง ทั้งรายได้และกำไร โดยมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่สูงถึง 64.91% และ 96.38% ตามลำดับ ดังนั้น การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยให้บริษัทฯ มีเงินทุนเพียงพอสำหรับขยายธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

ที่สำคัญ แผนยกระดับการทำธุรกิจที่วางไว้ ทำให้มีนักลงทุนสถาบันหลายรายแจ้งความประสงค์ที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทฯ แต่เนื่องจากจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายในครั้งนี้มีจำนวนจำกัด ทำให้ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททั้ง 4 ราย ตกลงจะขายหุ้นสามัญในส่วนที่เหลือทั้งหมดจากการติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 5.61 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.45% ของหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO ให้แก่นักลงทุนสถาบัน 3 ราย ประกอบด้วย กองทุนส่วนบุคคล โดย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) บมจ. ไทยประกันชีวิต (TLI) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Fund) ในราคาเดียวกับที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป ผ่านการซื้อขาย Big Lot ในการซื้อขายวันแรก พร้อมกับทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นที่ถืออยู่เป็นเวลา 3 เดือน ทำให้เมื่อนับรวมกับหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิม กลุ่ม Holistic Impact ที่ยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 13.52% ทำให้จะมีหุ้นที่ถูกห้ามขายรวมเกือบ 73% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน

ส่วนนายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO ทิ้งท้ายว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน จากการนำเงินทุนไปใช้ขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ ไม่น้อยกว่า 11 สาขา ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งปรับปรุงสาขาเดิม ปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่วนเงินที่เหลือจากการลงทุน จะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะสั้น พร้อมเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

 


Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้