NEO เคาะราคา IPO 39 บาท เปิดจอง 28-29 มี.ค. และ 1-2 เม.ย. นี้ ก่อนดีเดย์ซื้อขายวันแรก 9 เม.ย.

4702 จำนวนผู้เข้าชม  | 

NEO เคาะราคา IPO 39 บาท เปิดจอง 28-29 มี.ค. และ 1-2 เม.ย. นี้ ก่อนดีเดย์ซื้อขายวันแรก 9 เม.ย.



 

นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ หัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ (TSC) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 87.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 29.17% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ในราคาหุ้นละ 39 บาท ระหว่างวันที่ 28 – 29 มีนาคม และ 1 – 2 เมษายนนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 ราย คือ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASPS) บมจ.หลักทรัพย์ กรุงศรี (KSS) บมจ. หลักทรัพย์กสิกรไทย (KS) บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) และ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ก่อนเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ในวันที่ 9 เมษายนนี้

ทั้งนี้ การตั้งราคา IPO ที่ 39 บาท ดำเนินการผ่านการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Bookbuilding) ของนักลงทุนสถาบัน คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 13.39 เท่า เมื่อคำนวณจากกำไรต่อหุ้นช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคมปีก่อน ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ ในฐานะหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิต และจำหน่ายสินค้าอุปโภค (Consumer Products) ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) สะท้อนผ่านผลดำเนินงานย้อนหลัง (ปี 2563-66) ที่แข็งแกร่ง โดยมีการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 11.9% และกำไรสุทธิขยายตัวเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 11.7% โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย 81.8% ของกำลังการผลิตรวมทั้งหมด จนทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศแสดงความสนใจจองซื้อมากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรถึง 5 เท่า

 

 

 



ด้านนายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEO กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจสู่การเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชียที่สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนราว 1,960 ล้านบาท ไปใช้ขยายกำลังการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่มีคุณภาพ มีเอกลักษณ์โดดเด่น รองรับแผนขยายตลาดพรีเมียม และตลาดผู้สูงวัยอายุ 55 ปีขึ้นไป (Silver Market) ตลอดจนขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัย อีก 500 ล้านบาท นำไปชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน เพิ่มความเข้มแข็งทางการเงิน ที่เหลือ 476 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินธุรกิจ

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ วางแผนลงทุน 4 ปี (ปี 2567-70) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 77% จากสิ้นปีก่อน ที่มีกำลังการผลิตปีละ 234,782 ตัน แบ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ Consumer Products รวม 163,200 ตัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Personal Care รวม Baby and Kids Products 18,100 ตัน เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ที่มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ Consumer Products ในสัดส่วน 40% ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ Baby and Kids Products และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Personal Care ในสัดส่วน 35% และ 25% ตามลำดับ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพของคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปให้มีความสามารถในการจัดเก็บรวมเพิ่มเป็น 45,700 พาเลท ภายใต้งบลงทุนรวม 6,530 ล้านบาท ซึ่งจะยกระดับความสามารถด้านการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจ

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้