2238 จำนวนผู้เข้าชม |
งานสัมมนาหัวข้อ Chinese Opportunities Amidst a Gradual Recovery ที่จัดโดย K-Private Banking เพื่อระดมความเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการลงทุน ว่า จะมีมุมมองต่อภาพเศรษฐกิจจีนในระยะต่อไปอย่างไร หลังจากในช่วงก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบาย Zero-Covid เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด และปัญหาขาดสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการควบคุมบริษัทเทคโนโลยี กดดันให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นชะลอตัวลง ว่าจะคลี่คลายได้ช้าเร็วแค่ไหน และจะก้าวเข้าสู่ถนนสายใหม่ กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว โดยมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี พร้อมเดินหน้าลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ หลังสิ้นสุดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ในทันทีหรือไม่
ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า นโยบาย Zero-Covid ของจีนยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจจีนไม่สามารถฟื้นตัวได้ แต่น่าจะเป็นประเด็นการเมืองระยะสั้นๆ มากกว่า เนื่องจากทางการจีนไม่อยากให้มีการแพร่ระบาดลุกลามก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่ฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในกลางเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเชื่อว่า หลังการประชุมผ่านไป ทางการจีนน่าจะมีการผ่อนคลายแนวนโยบายมากขึ้น เริ่มจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ก่อนขยายวงไปทั่วประเทศ
สำหรับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน คาดว่า สี จิ้น ผิง ไม่น่าออกมาตรการกระตุ้นที่มีนัยสำคัญแต่อย่างใด เนื่องจากมองว่าบ้านมีไว้เพื่ออยู่อาศัย ไม่ได้มีไว้ปั่นราคา อีกทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เหมือนธุรกิจพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ ที่จะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกให้กับจีนได้ ส่วนเรื่องการมาตรการเพื่อควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในจีน ไม่ว่าจะเป็น เกมส์ออนไลน์ อีคอมเมิร์ส โซเชียลมีเดีย หรือสถาบันกวดวิชา จากความกังวลว่าจะเกิดการผูกขาด คงไม่มีการเข้มงวดเพิ่มเติม และคงจะไม่ผ่อนคลายอย่างมีนัยสำคัญ เพราะทางการจีนมองว่ากลุ่มธุรกิจเหล่านี้เป็นเศรษฐกิจมายา ไม่ใช่เศรษฐกิจจริง
ด้านผู้บริหารกองทุน JP Morgan นายโฮเวิร์ด หวัง เสริมว่า แม้นโยบาย Zero-Covid จะส่งผลกระทบต่อการบริโภคในประเทศ ขณะที่ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ กดดันให้ยอดขายและการลงทุนหดตัว ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี JP Morgan กลับมองว่า ทางการจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมอื่นแทน ผ่านการลดความเข้มงวดในบริษัทเทคโนโลยี เพื่อเปิดทางให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศ ลดการพึ่งพาต่างชาติ หรือผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาดที่เป็นกระแสหลักของโลกแทน
Head of Greater China Equities กองทุน JP Morgan ยังบอกด้วยว่า การจับจังหวะลงทุนในตลาดหุ้นจีนช่วงนี้ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงถึงปีละ 15–20% ในระยะ 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากตลาดได้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปมากแล้ว จน Valuation อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว โดยเฉพาะในหุ้น 3 กลุ่มหลัก คือ เทคโนโลยี (Technology) พลังงานสะอาด (Carbon Neutrally) และอุปโภคบริโภค (Consumption)
โดยกลุ่มเทคโนโลยี มีปัจจัยหนุนจากการอัพเกรดเทคโนโลยี และทดแทนการนำเข้า โดยรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนา (R&D) กระตุ้นให้ภาคเอกชนมีการลงทุนในหลากหลายด้าน และช่วยผลักดันให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก ทั้งด้านอุตสาหกรรม และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
ส่วนกลุ่มพลังงานสะอาด ได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2060 ทำให้มีการสนับสนุนจากภาครัฐ กระตุ้นให้การลงทุนด้านพลังงานทดแทน รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดูได้จากรถยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้บริโภคจีน อีกทั้งจีนมีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเทียมที่มีเทคโนโลยีทันสมัย
สำหรับกลุ่มอุปโภคบริโภค นอกเหนือจากการที่จีนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก ด้วยจำนวนประชากร 1.4 พันล้านคน เทียบเท่าสหรัฐฯ แล้ว การที่ผู้บริโภคต้องการสินค้าคุณภาพและสุขภาพที่ดี ด้วยแนวคิด “จีนทำ จีนใช้ จีนเติบโต” และยังบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดหมายว่า ยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยในจีนจะพุ่งสูงถึง 48% ของยอดขายทั่วโลก ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้
ขณะเดียวกัน นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ให้ความเห็นว่า หลังการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเสร็จสิ้นลงไป เชื่อว่าจะเห็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในระยะยาวมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในประเด็นการอัพเกรดเทคโนโลยี การพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานสะอาด รวมถึงการกระตุ้นการลงทุน และการบริโภค ซึ่งจะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตสูงขึ้น และสร้างโอกาสหาผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างโดดเด่น โดยคาดหวังผลตอบแทนสูงถึง 17-20% ใน 12 เดือนข้างหน้า
ผู้บริหาร K-Private Banking ยังแนะนำช่องทางการลงทุนในจีน ผ่านกองทุน K-CHINA (กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน) ที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนเติบโต (Growth) คุณภาพสูง (High Quality) และอยู่ในกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy) เพื่อคว้าโอกาสรับผลตอบแทนในอนาคตที่คุ้มค่้าทิ้งท้ายด้วย