1708 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ไทยโคโคนัท (COCOCO) เปิดเผยผลดำเนินงานปี 2567 มีกำไรสุทธิ 686.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.26% จากปี 2566 ผลจากการเติบโตของยอดขายทุกผลิตภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมะพร้าวในจีนที่มีอุปสงค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการวางแผนการขายและเพิ่มกลยุทธ์การตลาด ช่วยให้สามารถขยายช่องทางจำหน่าย และขยายฐานลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการให้ความสำคัญกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้จากการขายและบริการขยายตัว 41.46% จากปี 2566 เป็น 6,584.98 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการขายและบริการจากตลาดต่างประเทศ 5,774.11 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 87.69%) ที่เหลือ 810.87 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 12.31%) มาจากตลาดในประเทศ ที่เหลือ 810.87 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 12.31%) มาจากตลาดในประเทศ
ทั้งนี้ รายได้จากการการส่งออกเติบโตจากปีก่อน 43.77% ในทุกภูมิภาค นำโดยภูมิภาคอเมริกา และเอเชีย ที่เพิ่มขึ้น 48.55% และ 47.58% ตามลำดับ รองลงไปเป็นภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเพิ่มขึ้น 29.14% ตามมาด้วยยุโรป และแอฟริกา ที่เพิ่มขึ้น 21.63% และ 17.10% ตามลำดับ ขณะที่ตลาดในประเทศเติบโต 26.91%
โอกาสนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานปี 2567 ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (วันขึ้น XD) 30 เมษายนที่จะถึงนี้ ก่อนจ่ายเงินปันผลตามมาในวันที่ 20 พฤษภาคม
พร้อมกันนี้ ดร. วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ COCOCO ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่า ยังคงตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2568 เติบโต 40-50% จากปีก่อน สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท จากการขยายกำลังการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับแผนรุกขยายตลาดทั่วโลก ควบคู่ไปกับการขยายช่องทางจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ และการวางกลยุทธ์การตลาดเสริม เพื่อผลักดันให้ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ ได้แก่ น้ำมะพร้าว กะทิ อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่ม Plant Base อย่างไอศครีมแท่งแบรนด์ Sala รสทุเรียน มะม่วง มะพร้าว มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยจุดเด่น
นอกจากนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาวัตถุดิบไม่เพียงพอ อย่างที่เกิดกับผลิตภัณฑ์กะทิในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ทั้งที่บริษัทฯ มีการวางแผนสำรองวัตถุดิบล่วงหน้าประมาณ 6 เดือน แต่กลับไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจลงทุนในฟิลิปปินส์ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้ากลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้น จากปีละ 99,000 ตัน เป็นปีละ 155,000 ตัน สอดรับกับคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงช่วยสนับสนุนการเพิ่มยอดขายในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้แล้ว ยังจะเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลกในระยะยาวให้สูงขึ้น ส่งผลบวกกลับมาที่แนวโน้มผลดำเนินงานที่เติบโตในอนาคต