4984 จำนวนผู้เข้าชม |
นายยศวีร์ สุทธิกุลพานิช ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and Capital Market บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ปรึกษาทางการเงินร่วม เป็นตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. โรงพยาบาลนครธน (NKT) เปิดเผยว่า เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 135 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.23% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ที่ราคาสูงสุด ของกรอบราคาที่ตั้งไว้หุ้นละ 7.60-8.20 บาท จากราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท โดยจะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อเป็นลำดับแรก ระหว่างวันที่ 2-4 ธันวาคมนี้ ก่อนสรุปราคาสุดท้ายที่อ้างอิงจากผลสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะเปิดให้จองซื้อ ระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (TNITY) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นร่วม และผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ (TSC) บมจ. หลักทรัพย์ กรุงศรี (KSS) บมจ. หลักทรัพย์ กสิกรไทย (KS) และ บมจ. หลักทรัพย์ ดาโอ ประเทศไทย (DAOL) โดยจะมีการคืนเงินส่วนต่าง หากราคาเสนอขายสุดท้าย ซึ่งจะประกาศในวันที่ 12 ธันวาคม ต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุด คาดว่าจะพร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ หมวดธุรกิจการแพทย์ ในปักษ์หลังเดือนธันวาคมนี้
ด้านนายคงสิทธิ์ หันจางสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 1 TNITY ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม ชี้แจงว่า การตั้งราคา IPO ที่ 7.60-8.20 บาท พิจารณาจากผลสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) เบื้องต้นที่เปิดให้นักลงทุนสถาบันเสนอความต้องการซื้อเข้ามาในแต่ละระดับราคา เทียบเคียงจากการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio หรือ P/E) ที่คำนวณจากผลดำเนินงานช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ถึงไตรมาส 2 ปีนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 17.15-18.50 เท่า ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับภาวะตลาดปัจจุบัน และสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ในฐานะโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเฉพาะทาง และโรคที่มีความซับซ้อน พื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะทำเลถนนพระราม 2 ซึ่งมีการขยายตัวของที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่รองศาสตราจารย์ ญาณเดช ทองสิมา ประธานกรรมการ NKT ชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ว่า บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนในโครงการโรงพยาบาลนครธน 2 โครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ ซึ่งจะเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม รวมถึงขยายจำนวนเตียงให้บริการของโรงพยาบาลนครธน อีกส่วนหนึ่งนำไปชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการขยายฐานผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ ผลักดันการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ในฐานะโรงพยาบาลชั้นนำระดับประเทศ พร้อมกับตอบเจตนารมณ์ของครอบครัวทองสิมาและเครือญาติ ที่ต้องการสร้างโรงพยาบาลชั้นนำ มีมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะพื้นที่ถนนพระราม 2 ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพจะเป็นเขตเมืองแห่งใหม่ (New Urbanized District) ในอนาคต อีกทั้งเป็นถนนสายหลักที่ใช้เดินทางสู่ภาคใต้ของประเทศไทย สามารถเชื่อมต่อสู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ด้วยทางด่วน และมีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง
ส่วน ดร. วิศาล สายเพ็ชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NKT เสริมว่า โรงพยาบาลนครธน มีจำนวนเตียงให้บริการ 150 เตียง สามารถให้บริการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน จากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์เฉพาะทาง และสาขาเฉพาะทางอื่นๆ รวมถึงมีศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง 20 ศูนย์ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์หัวใจ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์กระดูกสันหลัง ศูนย์มะเร็ง หรือศูนย์ทันตกรรม ทำให้สามารถยกระดับการรักษาเพื่อตอบสนองการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการรักษาแบบองค์รวม ให้กับประชาชนทั่วไป คู่สัญญาองค์กร ประกอบด้วย กลุ่มคู่สัญญาบริษัทประกัน และกลุ่มคู่สัญญาองค์กรทั่วไปอื่นๆ และกลุ่มผู้ใช้บริการตามสิทธิตามกฎหมาย ทั้งสิทธิสวัสดิการข้าราชการภายใต้กรมบัญชีกลาง หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ และสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีแผนจะขยายขอบเขตการให้บริการไปยังกลุ่มผู้ใช้บริการตามสิทธิประกันสังคม ภายในปี 2570 จากโรงพยาบาลนครธน 2 ขนาด 151 เตียง ขณะเดียวกัน ได้เริ่มเปิดให้บริการกับลูกค้าต่างชาติแล้ว ผ่านการแต่งตั้งตัวแทนการตลาดในเมียนมา และมีแผนจะขยายตลาดในกัมพูชา และบังกลาเทศ ตามมา
แผนดำเนินงานข้างต้น ทำให้บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 3 ปีล่าสุด (ปี 2564–66) รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาล เพิ่มขึ้นจาก 1,529.21 ล้านบาท เป็น 1,937.26 ล้านบาท และ 2,003.67 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 14.57% ขณะที่กำไรสุทธิ เร่งตัวจาก 183.24 ล้านบาท เป็น 320.91 ล้านบาท ในปี 2565 ก่อนชะลอตัวลงมาที่ 282.29 ล้านบาท ในปี 2566 ที่ผ่านมา สาเหตุจากต้นทุนการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้
สำหรับผลดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2567 นี้ มีกำไรสุทธิ 190.38 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 19.15% ผลจากต้นทุนการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาลทำได้ใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อน ที่ 1,495.79 ล้านบาท กดดันให้อัตรากำไรสุทธิปรับลดลงจาก 15.52% มาอยู่ที่ 12.54%
โอกาสนี้ พญ. ศิเรมอร ทองสิมา ผู้อำนวยการสายงานแพทย์ NKT ปิดท้ายถึงกลยุทธ์เพื่อก้าวเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำระดับประเทศว่า บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพการให้บริการ ด้วยบุคลากรและทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการองค์กร ควบคู่ไปกับการขยายขอบเขตการให้บริการ ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เหมือนที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของ Brand Image พัฒนาความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการ ส่วนการลงทุนตามแผนระดมทุนในการเสนอขาย IPO จะช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีผลดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นผลตั้งแต่ปี 2568 ก่อนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในปี 2570-71 และมีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในระยะยาว
โดยโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลนครธน 2 บนถนนเอกชัย จำนวน 151 เตียง ภายใต้งบลงทุน 900 ล้านบาท คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ สามารถเปิดให้บริการได้ตั้งแต่ปี 2568 สำหรับลูกค้าที่ชำระเงินเองเป็นเฟสแรก หลังจากนั้น บริษัทฯ จะยื่นขออนุญาตโรงพยาบาลนครธน 2 เป็นโรงพยาบาลประกันสังคม ช่วงต้นปี 2569 ใช้เวลาดำเนินการขออนุญาตประมาณ 1 ปี คาดว่าพร้อมจะเปิดให้บริการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคมได้ในปี 2570 ช่วยรองรับความต้องการของผู้ประกันสังคมเขต 7 ซึ่งมีจำนวนผู้ประกันตนสูงเป็นอันดับ 5 ของกรุงเทพฯ
ส่วนโครงการนครธน ลองไลฟ์ เซ็นเตอร์ เพื่อเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงแบบองค์รวม ขนาด 85 เตียง ภายใต้งบลงทุนราว 557 ล้านบาท น่าจะเปิดดำเนินการได้ประมาณปี 2569 ขณะที่โครงการขยายจำนวนเตียงของโรงพยาบาลนครธน เพิ่มอีก 110 เตียง เป็น 260 เตียง ภายโต้งบลงทุน 414 ล้านบาท กำหนดทยอยเปิดบริการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ก่อนเต็มรูปแบบในปี 2570