5165 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจาก บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีนี้ มีกำไรสุทธิ 74 ล้านบาท เติบโต 211.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ตามการเติบโตของรายได้จากการขายและให้บริการที่เพิ่มขึ้น 14.4% มาอยู่ที่ 54,395 ล้านบาท หนุนจากธุรกิจน้ำมัน (Oil) ซึ่งเป็นธุรกิจสร้างรายได้หลัก มียอดขายเติบโต 13.6% เป็น 50,084 ล้านบาท ตามปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 12.1% YoY มาอยู่ที่ 1,577 ล้านลิตร แต่หากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) กำไรสุทธิจะลดลง 84.2% ตามปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่ลดลง 8.1% ส่งผลให้รายได้จากการขายและให้บริการลดลง 5.8% ตามไปด้วย ผลจากปัจจัยฤดูกาล อีกทั้งยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
อย่างไรก็ดี รายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช้น้ำมัน (Non-Oil) ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโต 25.2% YoY และ 4.1% QoQ เป็น 4,311 ล้านบาท หนุนจากธุรกิจก๊าซ LPG และการเติบโตอย่างโดดเด่นของธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย ที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 77.6% YoY และ 10.7% QoQ เป็น 573 ล้านบาท ตามแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเป็น 1,126 สาขา ประกอบกับมีการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้ารายเดิม และกลุ่มผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus รวมถึงการออกแคมเปญทางการตลาดที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้จากการขายและให้บริการลดลงเพียง 5.8% QoQ
สำหรับผลดำเนินงานงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 806 ล้านบาท เติบโต 90.1% YoY ตามรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้น 12.0% YoY มาอยู่ที่ 167,132 ล้านบาท เติบโตทั้งจากธุรกิจ Oil และธุรกิจ Non-Oil โดยธุรกิจ Oil มีการเติบโตของรายได้ 11.0% เป็น 154,640 ล้านบาท สาเหตุจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางยังคงสร้างสถิติยอดขายสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องที่ 5,013 ล้านลิตร เติบโต 13.6% YoY หลักๆ มาจากยอดขายผ่านสถานีบริการ PT รวม 4,886 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 14.1% ผลจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ยังคงเติบโตกว่า 10% YoY ส่งผลให้บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งตลาดสถานีบริการเพิ่มจาก 18.7% ในไตรมาส 3 ปีก่อน เป็น 21.3% จากการขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเพียง 1.7% เป็น 2,214 สถานี
ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil มีการเติบโต 25.8% เป็น 12,492 ล้านบาท จากทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจก๊าซ LPG ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ Max Mart ธุรกิจให้บริการอัดประจุไฟฟ้า หรือธุรกิจซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Oil ขยายตัวขึ้นเป็น 7.5% โดยธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยมีรายได้จากการขายและบริการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 75.1% ทำให้มีรายได้เพิ่มเป็น 1,540 ล้านบาท
ประการสำคัญ บริษัทฯ ยังคงตระหนักถึงการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน เพื่อเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่อยู่ดี มีสุข ในทุกช่วงของชีวิต ทำให้พร้อมขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อเน้นย้ำความพยายามในการรักษาสมดุลระหว่างการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ขับเคลื่อนไปด้วยกันอย่างต่อเนื่อง
ผลดำเนินงานเติบโตที่ดีขึ้นทั้งในไตรมาส 3 และช่วง 9 เดือนปีนี้ ทำให้บริษัทฯ จ่ายปันผลระหว่างกาลตอบแทนผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (วันขึ้น XD) 26 พฤศจิกายนนี้ ก่อนจ่ายปันผลตามมาในวันที่ 12 ธันวาคม
สำหรับแนวโน้มธุรกิจโค้งสุดท้ายปีนี้ ได้รับการอธิบายจากนายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG ว่า น่าจะเห็นการเติบโตดีขึ้นจากไตรมาส 3 โดยเฉพาะธุรกิจ Oil ที่จะเห็นการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเพิ่มขึ้น ขานรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวทางการเกษตร และการขยายสถานีบริการน้ำมันให้ครบ 2,251 สาขา โดยยังคงเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางที่ 10-15% ตามแผนที่วางไว้
ส่วนธุรกิจ Non-Oil ไม่คิดรวมธุรกิจ LPG น่าจะเห็นการเติบโตของยอดขายทั้งปีในระดับ 40-50% ตามแผนเช่นกัน ขับเคลื่อนจากการทำแคมเปญกระตุ้นให้ลูกค้าเดิม และกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus มีการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ให้อยู่ในระดับ 20-30% รวมถึงการเดินหน้าขยายสาขาในทุกธุรกิจ ไม่คิดรวมธุรกิจ LPG เพิ่มขึ้น 525 สาขา เป็น 1,878 สาขา ในจำนวนนี้เป็นการขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยให้ครบ 1,282 สาขา และ Touchpoints เพิ่ม 329 แห่ง เป็น 961 แห่ง
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจปีหน้า ผู้บริหาร PTG เชื่อมั่นว่า กำไรจะเติบโตต่อเนื่องรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเติบโตของภาคท่องเที่ยว อีกทั้งคาดแรงกดดันค่าการตลาดในธุรกิจ Oil จะลดลง จากทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ชะลอตัว และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากปีนี้ รวมถึงการเดินหน้าขยายฐานรายได้ ทั้งจากการเพิ่มฐานสมาชิก PT Max card plus จาก 1.0 ล้านใบ ในปีนี้ เป็น 1.5 ล้านใบ ควบคู่ไปกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในธุรกิจ Oil และ Non-Oil เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น และการคิดแคมเปญทางการตลาดเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
ในเบื้องต้น บริษัทฯ มีแผนขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันเพิ่มแค่ 50 สาขา แต่หันมาเน้นการปรับปรุงสถานีบริการเดิมราว 70-100 แห่ง ให้มีความสะอาด ทันสมัย และครบครันมากขึ้น เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ขึ้นมาเป็น 24%-25% ส่วนธุรกิจ Non-Oil ตั้งเป้าขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มอีก 600-800 สาขา พร้อมกับเพิ่มจุด Touchpoints ในทำเลที่มีศักยภาพต่อเนื่อง
แผนงานเหล่านี้ ทำให้นักวิเคราะห์จาก 6 ค่าย ประกอบด้วย ยูโอบี เคย์เฮียน (UOBKH) กรุงไทย เอกซ์สปริง (KTX) หยวนต้า (YUANTA) ทรีนีตี้ (TNITY) กรุงศรี (KSS) และกสิกรไทย (KS) ยกให้ PTG เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มสถานีบริการน้ำมันด้วยกัน จากศักยภาพการเติบโตที่เหนือกว่าคู่แข่ง ทั้งจากปริมาณการขายน้ำมันที่เติบโตสวนทางคู่แข่งที่ทรงตัว หรือลดลง อีกทั้งยังจะได้ประโยชน์มากที่สุด หากภาครัฐเลิกกำหนดเพดานราคาน้ำมันดีเซล และต้นทุนน้ำมันกลับสู่ระดับปกติ จาการที่บริษัทฯ มีสัดส่วนการขายน้ำมันดีเซลกว่า 70% เทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในระดับ 55-60%
นอกจากนี้ แนวโน้มธุรกิจระยะสั้นน่าจะเห็นโอกาสเติบโตจากธุรกิจ Oil ต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ จนถึงไตรมาสแรกปีหน้า รับอุปสงค์ฟื้นตัวตามฤดูกาล และน้ำท่วมคลี่คลาย หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นมีลุ้นปรับขึ้นจากลิตรละ 1.65 บาท มาที่ลิตรละ 1.70-1.80 บาท ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ยังมีการเติบโตแข็งแกร่ง นำโดยธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งมีแผนขยายสาขาเพิ่มจาก 400 สาขา ในปีนี้ เป็นอย่างน้อย 600 สาขา และได้มีการล๊อกราคาต้นทุนกาแฟปีหน้าไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้การปรับตัวของราคาหุ้นในระดับต่ำกว่า 9 บาท ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือเป็นจังหวะซื้อ ทั้งเพื่อเก็งกำไรตามรอบ หรือหาผลตอบแทนจากมูลค่าพื้นฐานที่ให้ไว้ 10.50-11.60 บาท ยังไม่คิดรวม upside ที่จะเกิดจากการนำบริษัทย่อย บมจ. แอตลาส เอ็นเนอยี (ATLAS) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะช่วยต่อยอดการเติบโตจากธุรกิจก๊าซ LPG ที่แข็งแกร่งมากขึ้น จากโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาด LPG ภาคครัวเรือน หลังจากก้าวเป็นผู้นำตลาด LPG ภาคขนส่งได้แล้ว ด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 30%