ยก GFPT, ITC หุ้นเด่นกลุ่มส่งออกอาหารปี 2567

หลังจากการส่งออกเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สินค้าหมวดเกษตรและอาหาร อย่างอาหารสัตว์เลี้ยง ทูน่ากระป๋อง และไก่แปรรูป ยังขยายตัวได้จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สวนทางภาพรวมการส่งออกที่มีมูลค่าติดลบ 0.3% ผิดคาดหมายของตลาด ที่ประเมินว่าจะขยายตัว 2.6% YoY โดยเมื่อจำแนกรายกลุ่ม จะพบว่า กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขและแมว มีมูลค่าการส่งออก 211.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 23.7% YoY เป็นการเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 ทำให้มูลค่าการส่งออกครึ่งปีแรกทำได้ 1,283 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 34.6% YoY

ส่วนกลุ่มอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป มีมูลค่าการส่งออก 286.14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้เคียงงวดปีก่อน แต่หากพิจารณารายประเภทสินค้า จะพบว่ากลุ่มทูน่ากระป๋อง มีมูลค่าการส่งออก 173.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 15.7% YoY เป็นการเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ทำให้มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องครึ่งปีแรกทำได้ 1,081.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 15% YoY

ขณะที่กลุ่มไก่ส่งออก มีมูลค่าการส่งออก 334.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะติดลบ 1.9% YoY สาเหตุจากไก่แช่แข็งแช่เย็น ที่มีสัดส่วน 30% ของมูลค่าการส่งออก หดตัวมากถึง 13% YoY แต่ไก่แปรรูป ซึ่งเป็นสินค้าหลักของทั้ง CPF และ GFPT และมีสัดส่วน 70% ยังเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในระดับ 4% YoY ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกไก่ครึ่งปีแรกทำได้ 2,057.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 3% YoY โดยเป็นการเติบโตจากกลุ่มไก่แปรรูป ในสัดส่วน 6.3% YoY

การเติบโตของยอดส่งออกใน 3 กลุ่มสินค้าข้างต้น คาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ของหุ้นส่งออกด้านเกษตรและอาหาร 4 บริษัท ประกอบด้วย ITC, TU, CPF และ GFPT ให้มีการเติบโตของกำไรดีขึ้นทั้งเมื่อเปรียบเทียบรายปี (YoY) และรายไตรมาส (QoQ) ก่อนจะเติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จากปัจจัยฤดูกาลในไตรมาส 3 และโค้งสุดท้ายของปี 2567

จากการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์จาก 12 สำนัก พบว่า เสียงส่วนใหญ่คาดกำไรปกติงงวดไตรมาส 2 ของ ITC อยู่ที่ 860 -940 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย QoQ แต่โตก้าวกระโดดเกิน 100% YoY จากปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป นำไปสู่การใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น สร้างการประหยัดต่อขนาด ช่วยให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง ประกอบกับสต๊อกต้นทุนปลาทูน่าที่ราคาลดลง หนุนให้อัตรากำไรสูงขึ้น นอกจากนี้ ผลดำเนินงานไตรมาส 3 น่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งจากปัจจัยฤดูกาล และการรับรู้รายได้จากการเลื่อนส่งมอบสินค้าบางส่วนในไตรมาส 2 ออกมาเนื่องจากปัญหาขาดแคลนตู้สินค้า ช่วยสนับสนุนให้กำไรทั้งปีน่าจะขยับขึ้นมาที่ 3.1-3.8 พันล้านบาท คิดเป็นราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ 27 บาท

ส่วน TU คาดมีกำไรปกติงงวดไตรมาส 2 ที่ 1.1-1.4 พันล้านบาท เติบโตเด่น 50% QoQ แต่โตเล็กน้อย YoY จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปกระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยงของ ITC อีกทั้งบริษัทร่วมยังมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น และไม่มีผลขาดทุนจาก RED LOBSTER อีก หนุนให้ส่วนแบ่งกำไรสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการขายบริหาร และภาษีที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี ก่อนจะเติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จากปัจจัยฤดูกาล พร้อมควบคุมต้นทุน เพื่อรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับ 17-18% ซึ่งจะมีผลให้กำไรทั้งปีเติบโตมาที่ 5.0-5.9 พันล้านบาท คิดเป็นราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ 17.80 บาท

สำหรับ CPF คาดกำไรปกติงวดไตรมาส 2 ทำได้ 3.3-4.6 พันล้านบาท เติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้ง QoQ และ YoY จากราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวดีขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ทั้งไก่และสุกร ในไทย เวียดนาม และ จีน เพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้น เสริมด้วยส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น ขับเคลื่อนให้กำไรทั้งปีเติบโตมาที่ 1.0-1.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็นราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ 27.40 บาท

ขณะที่ GFPT คาดมีกำไรปกติงวดไตรมาส 2 ที่ 500-550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10-18% QoQ และ 50-56% YoY หนุนจากปริมาณส่งออกไก่เพิ่ม และต้นทุนวัตถุดิบลดลง ช่วยผลักดันกำไรให้สูงขึ้น อีกทั้งธุรกิจอาหารสัตว์น้ำดีขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม ทั้ง MCKEY และ GFN ขยายตัวเพิ่มขึ้น ตามยอดขายที่เติบโตขึ้น ผลักดันให้กำไรทั้งปีขยายตัวแตะ 1.4-1.9 พันล้านบาท คิดเป็นราคาเหมาะสมเฉลี่ยที่ 15.70 บาท

ซึ่งเมื่อให้คัดเลือกหุ้นเด่น จาก 4 บริษัทนี้ โดยพิจารณาประกอบเข้ากับมูลค่าหุ้น เสียงส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักกับ GFPT ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับไก่เพียงธุรกิจเดียวจึงไม่มีผลกระทบจากความผันผวนของราคาสุกรมากนักเหมือน CPF ประกอบกับราคาหุ้นปัจจุบันมีความน่าสนใจในเชิง PER ที่ต่ำสุดในกลุ่มอาหาร รองลงมาเป็น ITC

แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว อาจจับจังหวะที่ตลาดพักฐาน ซื้อสะสมหุ้น CPF ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการเป็นหุ้นเป้าหมายในการลงทุนของกองทุน Thailand ESG