ตลาดปรับเป้า BEM รับได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วน CK ที่ได้งานจาก BEM ยังคงเดิม 26-27 บาท

5174 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ตลาดปรับเป้า BEM รับได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วน CK ที่ได้งานจาก BEM ยังคงเดิม 26-27 บาท


นายณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ช. การช่าง (CK) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการว่าจ้างจาก บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ให้เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก เส้นทางบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มูลค่า 9 หมื่นล้านบาท พร้อมกับจัดหา และติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสำหรับทั้งโครงการ (ครอบคลุมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันออก เส้นทางศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย–มีนบุรี) มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1.2 แสนล้านบาท หนุนให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มจากที่มีอยู่ 1.3 แสนล้านบาท ขึ้นมาทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ที่ 2.5 แสนล้านบาท ทยอยรับรู้เป็นรายได้ต่อเนื่อง 6 - 7 ปี ปีละประมาณ 3.4 - 3.5 หมื่นล้านบาท เพราะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันออกมีกำหนดส่งมอบงานภายใน 3 ปี 6 เดือน เพื่อเริ่มต้นเปิดให้บริการช่วงปลายปี 2570 ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก มีกำหนดส่งมอบงานภายใน 6 ปี นับจากเดือนสิงหาคมปีนี้เป็นต้นไป โดยมีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการช่วงตะวันออก

ทั้งนี้ งานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย แม้จะเป็นราคาเดิมที่เคยเสนอให้กับ รฟม. เมื่อปี 2565 แต่บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมต้นทุนได้ เพราะราคาที่เสนอไปได้มีการประเมินความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างไว้แล้ว ประกอบกับงานก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นงานอุโมงค์ที่ต้องใช้หัวเจาะและเครื่องมือจำนวนมาก แต่ใช้แรงงานไม่มาก ทำให้แทบไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรง และยังมีแนวโน้มด้วยว่า บริษัทฯ จะสามารถบริหารจัดการโครงการให้มีกำไรขั้นต้น (Gross Profit) ได้ 8% สูงกว่าที่เคยทำได้ 7% ช่วงก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีโอกาสที่จะได้รับงานใหม่เพิ่มจาก BEM ที่คาดว่าจะได้รับเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) มูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี รวมถึงงานติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสจะรับงานเมกะโปรเจคท์อื่นๆ ของภาครัฐเพิ่มเติม อย่างโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิฝั่งตะวันออก โครงการรถไฟทางคู่ เฟส 2 หรือโครงการมอเตอร์เวย์

อย่างไรก็ตาม การรับรู้รายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มคาดจะเริ่มเห็นผลในปีหน้าเป็นต้นไป ทำให้ยังคงประเมินรายได้ปีนี้ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท ตามเดิม ส่งผลให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยังคงมูลค่าเหมาะสมของ CK ไว้ที่ 26-27.30 บาท ขณะที่ค่าเฉลี่ยของ IAA Survey อยู่ที่ 26.85 บาท

 

 



ขณะเดียวกัน การได้สัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ยังถือเป็น New S-Curve ที่จะช่วยผลักดันให้ BEM สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว โดย ดร. สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ BEM ชี้ประเด็นว่า การเติบโตจะมาจากทั้งการส่งต่อผู้ใช้บริการในระบบเชื่อมเข้าสู่รถไฟฟ้าสายสีน้ำ เงินได้ทันที โดยประเมินจำนวนผู้โดยสารในปีแรก หลังจากเปิดให้บริการรถไฟฟ้าฝั่งตะวันออก อยู่ที่วันละ 1.2 แสนคน ก่อนเพิ่มเป็นวันละ 3.0 แสนคน เมื่อเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ช่วยให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นจากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) และยังจะช่วยสร้างรายได้ประจำ จากการออกแบบพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่ดีกว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เสริมเพิ่มจากค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 17- 44 บาท ก่อนปรับขึ้นทุก 2 ปีตามดัชนีราคาผู้บริโภค และเมื่อครบ 10 ปี จะปรับค่าโดยสารเป็น 20 - 63 บาท ตามสัญญา และหากภาครัฐประสงค์จะต่ออายุมาตรการค่าโดยสารตลอดสาย 20 บาท ทางบริษัทฯก็จะได้รับเงินอุดหนุนเข้ามาช่วยชดเชยส่วนหนึ่ง 

สำหรับความพร้อมในการดำเนินโครงการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม บริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก บมจ. ธนาคารกรุงเทพ (BBL) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจ และความมั่นใจในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ รวมถึงบริษัทฯ ยังได้จัดเตรียมเงินทุนส่วนหนึ่งเพื่อรองรับเป็นการล่วงหน้า ทั้งจากกระแสเงินสด การออกหุ้นกู้ 

ความชัดเจนในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบโครงการ สัญญาที่รัดกุม เงินทุนที่พร้อม พื้นที่ทำงานที่พร้อม คาดจะทำให้ โครงการเดินหน้าได้อย่างราบรื่น และสามารถเปิดดำเนินการได้ในปี 2571 ทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานของ BEM ตามมา 

โดยในกรณีของ BEM มีการปรับมูลค่าเหมาะสมของ BEM จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเพิ่มระหว่าง 1.00-1.55 บาท ทำให้ราคาเหมาะสมของ BEM ถูกปรับขึ้นมาอยู่ที่  9.50-12.00 บาท โดยค่ายกรุงศรี (KSS) ให้ราคาเหมาะสมต่ำที่สุดที่ 9.50 บาท ส่วนทิสโก้ (TSC) ให้ที่ 12 บาท ขณะที่ค่าเฉลี่ยของ IAA Survey อยู่ที่ 11.10 บาท และยังจะมี upside เพิ่มจากความคืบหน้าโครงการ Double Deck และและการเจรจาสัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ในระยะต่อไป  

ส่วนลิเบอเรเตอร์ (LIB) ให้มูลค่าพื้นฐานจากโครงการรถไฟฟ้าสีส้มเพิ่มถึง 3.31 บาท ซึ่งเมื่อคิดรวมมูลค่าจากเงินลงทุนใน TTW และ CKP ในอัตรา 0.66 บาท และรายได้จากธุรกิจเดิม ทั้งทางด่วน โครงการรถไฟฟ้าสีน้ำเงินและสีม่วง รวมกัน 11.45 บาท ทำให้ปรับมูลค่าเหมาะสมสูงที่สุด เป็น 15.40 บาท 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้