KTB กำไรไตรมาสสองและครึ่งปีแรกโต 10% ตามคาด คุณภาพสินทรัพย์ยังแกร่ง

บมจ. ธนาคารกรุงไทย (KTB) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1.11 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเพิ่มขึ้น 10.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สอดคล้องกับที่ตลาดคาดไว้ หนุนจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด 1.7% QoQ และ 8.2% YoY ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้น 6 bps เป็น 3.37% จากการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อมาที่กลุ่ม high yield มากขึ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่เร่งตัวขึ้น ถึงแม้สินเชื่อจะหดตัว 2.2% QoQ และ 0.7% YoY จากผลของการชำระคืนหนี้ของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ และหน่วยงานภาครัฐ แต่ยังเห็นการเติบโตที่ดีในกลุ่มสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล อีกทั้งค่าใช้จ่ายดำเนินงานยังลดลง 7.3%

อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น 3.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพื่อรักษา Coverage ratio ให้อยู่ในระดับสูง 181% ต่อเนื่องจากสิ้นปีก่อน เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจเป็นการล่วงหน้า

สำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2.22 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 10.1% YoY ขานรับรายได้จากการดำเนินงานที่ขยายตัว 12.9% YoY สาเหตุจากการบริหารจัดการ Portfolio เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มุ่งเน้นคุณภาพ และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อโดยรวมอยู่ใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อน ที่ 2.4 ล้านล้านบาท ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ และรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ยังขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ทำให้ธนาคารตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 1.1% เป็น 1.6 หมื่นล้านบาท เพื่อรักษา Coverage ratio ในระดับสูง 181% พร้อมกับรักษาสมดุลของอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ได้ที่ 20.75% ในจำนวนนี้เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่ระดับ 17.57% ทั้งที่สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.87 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPLs Ratio ที่ 3.12% ใกล้เคียงกันสิ้นปีก่อน

ขณะเดียวกัน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ KTB ได้เปิดเผยแผนงานในครึ่งปีหลังว่า ธนาคารพร้อมเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อทั้งปีที่ 3% ตามเดิม และการให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูง ให้สามารถปรับตัวและฟื้นตัวในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจได้ ภายใต้หลักการบริหาร Portfolio เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างมีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง