KBANK กำไรไตรมาสสองตามคาด 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% YoY แต่ลดลง 6% QoQ คุณภาพหนี้ไม่น่ากังวล

2089 จำนวนผู้เข้าชม  | 

KBANK กำไรไตรมาสสองตามคาด 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% YoY แต่ลดลง 6% QoQ  คุณภาพหนี้ไม่น่ากังวล


บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 1.26 หมื่นล้านบาท ลดลง 6.18% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สอดคล้องกับที่ตลาดคาดไว้ โดยการเติบโตเชิง YoY เกิดจากรายได้จากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีการปรับลดลงเล็กน้อย ส่วนการลดลงเชิง QoQ หลักๆ มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น กดดันให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลดลงเล็กน้อย QoQ มาอยู่ที่ 3.67% และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิที่ลดลง ถึงแม้รายได้สุทธิจากการรับประกันภัยปรับตัวดีขึ้น

ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 5.67% จากการจัดกิจกรรมทางการตลาด และการดำเนินงานตามทิศทางธุรกิจ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการขยายช่องทางให้บริการลูกค้า และการให้เงินช่วยเหลือแทนความห่วงใยให้แก่พนักงาน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) เพิ่มจาก 41.3% ขึ้นมาที่ 43.4%

ด้านการกันสำรองหนี้ลดลง 9% YoY และทรงตัว QoQ ตามคาด หลังจากธนาคารได้ตั้งสำรองเผื่อไว้มากแล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อในอนาคต ธนาคารได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาเป็น 151.87%

สำหรับงวดครึ่งปีแรก ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2.61 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.26% YoY สาเหตุจากรายได้จากการดำเนินงานสุทธิที่เติบโตสูงกว่าค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ประกอบกับการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ปรับลดลง YoY ตามไปด้วย ทั้งที่เงินให้สินเชื่อสุทธิอยู่ในระดับทรงตัวที่ 2.48 ล้านล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง แต่การยกระดับกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างมีคุณภาพ เพื่อบริหารผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้สามารถคววบคุมหนี้เสีย (NPLs) ให้ประคองตัวที่ระดับ 3.18% พร้อมกับรักษาสมดุลของอัตราส่วนเงินกองทุนได้ที่ 19.42% ในจำนวนนี้เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ที่ระดับ 17.46% และ 1.96% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

ที่สำคัญ นางขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KBANK ได้ชี้แจงเพิ่มเติมประเด็นเรื่องผลกระทบจาก บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ด้วยว่า ยังคงมีการจ่ายหนี้ตามปกติ และธนาคารได้ตั้งสำรองไว้เต็มจำนวนแล้วตั้งแต่ในไตรมาส 2 ที่ผ่านไป เพราะมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อน้อยมาก

สำหรับแผนงานในครึ่งปีหลัง ผู้บริหารยังคงเป้าหมายทางการเงินไว้ตามเดิมทั้งหมด โดยตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตที่ 3-5% ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ในระดับทรงตัวที่ 3.66% ส่วน NPL ควบคุมให้ต่ำกว่า 3.25%  โดยมี Credit Cost ในกรอบ 1.75-1.95% 

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้