5123 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจาก บมจ. ไทยโคโคนัท (COCOCO) ประกาศผลดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2567 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ โชว์กำไรสุทธิ 264 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 203% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และเติบโต 8% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่หากตัดรายการพิเศษออกไป กำไรปกติ จะอยู่ที่ 193 ล้านบาท ขยายตัว 144% YoY และ 5% QoQ ตามยอดขายที่เติบโต 60% YoY และประคองตัว QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลของน้ำมะพร้าวที่มักชะลอตัว มาอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วนยอดขายจากน้ำมะพร้าว 46% กะทิ 42% และอาหารสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว 3%
โอกาสนี้ ดร. วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร COCOCO ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส 2 นี้ ผลดำเนินงานมีแนวโน้มจะเติบโตดีขึ้นจากไตรมาสแรก หนุนจากยอดขายน้ำมะพร้าวที่เติบโตอย่างโดดเด่น รับไฮซีซั่นของธุรกิจ และการวางตลาดน้ำมะพร้าวบรรจุภัณฑ์ใหม่ ในรูปแบบ Slim can และขวด PET พร้อมกับเปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ทั้ง Superfood bite Kibble, Tuna premium และแบรด์ใหม่ VetMoo+ และกลุ่ม Plant Base ด้วยไอศครีมแท่งแบรนด์ Sala รสทุเรียน มะม่วง มะพร้าว
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้ารายใหม่ในต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าปัจจุบัน เพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าเดิมในแบรนด์ต่างๆ และกระตุ้นยอดขายสินค้าใหม่ ที่จะทยอยเปิดตัวในทุกแบรนด์ โดยอาศัยผลศึกษาและสำรวจตลาดมาประยุกต์ใช้กับการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลาย และการออกงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้ปีนี้ให้เติบโต 30-40% ตามแผนธุรกิจ 3 ปี ที่ตั้งเป้ายอดขายปี 2569 เติบโตแตะ 10,000 ล้านบาท
แผนงานข้างต้น ได้รับการตีความจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ค่ายบัวหลวง (BLS) บียอนด์ (BYD) หยวนต้า (YUANTA) ลิเบอเรเตอร์ (LIB) และไพ (Pi) ว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 มีโอกาสสูงที่จะทำสถิติสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ (All-time high) จากการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมะพร้าวให้เพียงพอกับคำสั่งซื้อที่ได้รับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง (เพิ่มจากปีละ 1.7 แสนตัน ในไตรมาสแรก เป็นปีละ 2.6 แสนตันในไตรมาสสุดท้ายปีนี้) และแผนจัดการวัตถุดิบล่วงหน้า พร้อมแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในไตรมาส 3 จากโอกาสเติบโตในตลาดน้ำมะพร้าวในจีน เห็นได้จากแนวโน้มการนำเข้าน้ำมะพร้าวของประเทศจีนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ มียอดคำสั่งซื้อรองรับแล้วกว่า 80% ของกำลังการผลิต รวมถึงการเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของสหรัฐฯ และยุโรป หนุนด้วยการเริ่มเห็นกำไรจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรกในไตรมาสแรก ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มจาก 25.2% ในไตรมาสแรกปีก่อน และ 26.6% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน เพิ่มเป็น 26.7% ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา และโอกาสขยายตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพที่จะเกิดตามมาในครึ่งปีหลัง ช่วยเพิ่มแรงส่งในระยะกลาง
สำหรับการประเมินมูลค่าเหมาะสม BLS ให้ราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 14.50 บาท ตามมาด้วย BYD ที่ให้ 15 บาท ส่วน Pi และ YUANTA ให้มูลค่าเท่ากันที่ 15.30 บาท และ LIB ให้สูงสุดที่ 16.30 บาท