PKN ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 25.4 ล้านหุ้น หวังก้าวสู่ผู้นำสินค้าลิขสิทธิ์ในอาเซียน

 

นางดาริน กาญจนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล (OptAsia) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง (PKN) เปิดเผยว่า ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 25.4 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.30% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ภายในปีนี้ 

ทั้งนี้ PKN ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าเพื่อการสะสม สินค้าลิมิเต็ด สินค้าพรีเมี่ยม และสินค้าลิขสิทธิ์ ทั้งจากตัวการ์ตูน คาแรคเตอร์จากภาพยนตร์ หรือแอนิเมชั่นที่เป็นที่นิยมมากกว่า 100 คาแรคเตอร์ จากผู้ให้ลิขสิทธิ์ชั้นนำจากฝั่งอเมริกา อย่าง Universal Studio Licensing เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์ Minion และ Felix the cat และลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious และ Puss in Boots 2 และ The Walt Disney เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์จากภาพยนตร์ Avengers Spider-Man และ Marvel รวมถึงค่ายญี่ปุ่น อย่าง Dream Express ตัวแทนในการดูแลลิขสิทธิ์ของคาแรคเตอร์จากแอนิเมชั่นชื่อดังจากญี่ปุ่นอย่าง Gundam, One Piece, Ultraman, Masked Rider, Demon Slayer Kimetsu No Yaiba และ Detective Conan ตลอดจนคาแรคเตอร์จาก Creator ไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ตามภาพรวมธุรกิจลิขสิทธิ์ทั่วโลก

สังเกตได้จากจากบทวิเคราะห์ Global and Thailand Brand Licensing Market Research 2023 ที่จัดทำโดย Arsta Research พบว่า ธุรกิจลิขสิทธิ์มีมูลค่าตลาด 290.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวๆ 10.3 ล้านล้านบาท ในปี 2565 และคาดว่าอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.2% ตั้งแต่ปี 2566-72 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีทบต้น (CAGR) ที่ 3.6% ทำให้มูลค่าตลาดในปี 2572 จะเพิ่มขึ้นเป็น 389.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่นายนพพล มิลินทางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PKN อธิบายเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิตสินค้าลิขสิทธิ์มานานกว่า 6 ปี ทั้งสำหรับลูกค้าผู้บริโภค ภายใต้แบรนด์ IGNITE ที่พัฒนาและจำหน่ายภายใต้บริษัทฯ เอง (B2C) และลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่นำไปจำหน่ายต่อ หรือใช้เป็นสินค้าส่งเสริมการขาย (B2B) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ในหลายอุตสาหกรรมที่มีความสัมพันธ์ที่ดีและมีการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ผลดำเนินงานเติบโตทั้งรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง

โดยรายได้ย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด (ปี 2564-66) เติบโตเพิ่มจาก 141.22 ล้านบาท เป็น 238.07 ล้านบาท และ 252.06 ล้านบาท ตามลำดับ หนุนให้พลิกจากขาดทุน 5.74 ล้านบาท มาเป็นกำไร 0.19 ล้านบาท และ 13.65 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ผลดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้ 55.84 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกปีก่อน 8.23% จากการปรับกลยุทธ์มามุ่งเน้นขายสินค้าลิขสิทธิ์มากขึ้น เพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น ทำให้ยอดขายกลุ่มลูกค้ารายใหม่ลดลง ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.28 ล้านบาท ลดลง 55.09% เพราะมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว

สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุน เพื่อนำไปเป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพในอนาคต เช่น การซื้อกิจการ (M&A) และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยต่อยอดให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำสินค้าลิขสิทธิ์สำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจและผู้บริโภคในอาเซียน โดยกำหนดสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าลิขสิทธิ์ให้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจเดิม และลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 50% และตลาดต่างประเทศ 10% ขณะที่สัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ IGNITE ผ่านช่องทางการขายแบบออฟไลน์ และออนไลน์ อย่างละ 10% อีก 20% ที่เหลือมาจากการขยายธุรกิจโดยการซื้อกิจการ หรือร่วมลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพและสามารถต่อยอดธุรกิจสินค้าลิขสิทธิ์ได้อย่างมั่นคง หรือลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และความบันเทิง เพื่อให้เกิด Synergy ใหม่ ผลักดันการเติบโตในอนาคตอย่างก้าวกระโดด สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น ตามนโยบายการจ่ายเงินปันผล ในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย และข้อบังคับบริษัทฯ