3082 จำนวนผู้เข้าชม |
นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) เปิดเผยว่า การที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้บริษัทฯ ได้อานิสงค์จากความต้องการใช้บริการโครงข่าย และให้บริการติดตั้งโครงข่าย เพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่โมเดลธุรกิจของบริษัทฯ มีรายได้ค่อนข้างมั่นคงจากฐานลูกค้าเดิม และยังสามารถต่อยอดได้ เช่น งาน Drone & Anti-Drone งาน Smart CCTV และอื่นๆ โดยอาศัยจุดแข็งจากโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพเหนือคู่แข่ง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้เพิ่มขึ้น ช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลดำเนินงานปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้ 3,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากต้นทุนค่าสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง เนื่องจากไม่สามารถปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนได้ตามความเป็นจริง กดดันให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 252 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มธุรกิจปีนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า จะเห็นการเติบโตโดดเด่นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะได้แรงสนับสนุนจากงานใหม่ๆ ที่จะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้เพิ่มเติมงานในมือ (Backlog) ที่รอรับรู้รายได้อีกกว่า 3 พันล้านบาท ให้เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการขยายงานของลูกค้าค่ายโทรศัพท์มือถือ ลูกค้าภาคเอกชนและภาครัฐทั้งรายเก่า และลูกค้าใหม่ รวมถึงการเดินหน้าตามกลยุทธ์ New S-Curve พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง
อย่างการให้บริการ Data Center ที่เริ่มเห็นผลสำเร็จมากขึ้นเป็นลำดับ นับตั้งแต่การประกาศความร่วมมือกับ ETIX EVERYWHERE พันธมิตรระดับโลก โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 33% เปิดตัว Data Center แห่งใหม่ ETIX Bangkok 1 ตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด กม.19 ในปีที่ผ่านมา และพร้อมขยาย ETIX Bangkok 2 ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแห่งแรกถึง 3 เท่า เพื่อให้สามารถตอบสนองปริมาณความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีแผนนำบริษัทย่อย อย่าง บลูโซลูชั่น (BS) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปลายปีนี้ด้วย โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการหารือร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อจัดทำไฟลิ่งตามขั้นตอน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจของบริษัทย่อยแห่งนี้ ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อ ITEL ตามมาในที่สุด
มุมมองของผู้บริหาร ITEL ได้รับการตีความจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า มีความเป็นได้สูงมาก หลังจากในรอบปีที่ผ่านมา ตลาดผิดหวังกับความล่าช้าของงานประมูล อีกทั้งความสามารถทำกำไรของบริษัทฯ ยังถูกกดดันจากอัตรากำไรขั้นต้นของงานให้บริการติดตั้งโครงข่าย และงานบริการโครงข่ายที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตามต้นทุนค่าสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น และกดดันให้ราคาหุ้น ITEL ปรับตัวลงเกือบทั้งปี แต่การที่รายได้และกำไรปกติไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณบวกมากขึ้น ทำให้ เชื่อว่าแนวโน้มปีนี้จะดีขึ้น ทั้งในด้านรายได้ และต้นทุน
ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) เชื่อว่า จะเห็นการเติบโตของรายได้ดีขึ้นจากปีก่อน 13.5% จากทุกธุรกิจ โดยเฉพาะงานให้บริการติดตั้งโครงข่าย ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจ Data center ของบริษัทร่วมที่ ITEL ถือหุ้น 33% น่าจะเริ่มสร้างกำไรได้หลังจากลูกค้าใหม่เริ่มใช้งานตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าจะเห็นการขยายตัวของกำไร 30.9% เป็น 323 ล้านบาท คิดเป็นราคาเป้าหมายที่ 5 บาท (Fully dilute) อิง P/E ที่ 25 เท่า ยิ่งราคาหุ้นปัจจุบันหุ้นแกว่งตัวบริเวณ 3.30 บาท คิดเป็น P/E ที่ 17.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ซื้อขายที่ P/E 23 เท่า จึงแนะนำ "ซื้อ"
ขณะที่ดาโอ (DAOL) ยังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ ที่ 316 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21% หนุนจากรายได้รวมที่คาดเติบโต 6% เป็น 3.6 พันล้านบาท จากงานให้บริการติดตั้งโครงข่ายที่มีแนวโน้มขยายตัวขึ้น อิงสมมติฐานงานรอประมูลปีนี้ ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท ตามที่บริษัทฯ ประเมินไว้ หนุนด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดขยายตัวขึ้น 0.4% จากปีก่อน มาเป็น 19% หลังจากงานโครงการภาครัฐยอมปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้น คิดเป็นราคาเป้าหมายที่ 5.50 บาท อิงวิธี DCF เทียบเท่า PER ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (+0.25 SD) และใกล้เคียงค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 29-30 เท่า
ส่วนกรุงศรี พัฒนสิน (KCS) คาดรายได้และกำไรสุทธิเติบโตดีขึ้น ทั้งจากปริมาณงานบริการโครงข่าย และงานให้บริการติดตั้งโครงข่าย ที่มีโอกาสได้งานใหม่ต่อยอด Backlog ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น และยังมี New S-curve จากการขยายการให้บริการ Data center รองรับผู้ให้บริการระดับ Hyperscale ที่เข้ามาลงทุนในไทย แนะนำ "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 5.70 บาท