ตลาดลดเป้า WICE หลังกำไรปีก่อนวูบจากผลกระทบค่าระวางเรือทรุดตลอดครึ่งปีหลัง

2915 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ตลาดลดเป้า WICE หลังกำไรปีก่อนวูบจากผลกระทบค่าระวางเรือทรุดตลอดครึ่งปีหลัง


บมจ. ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร รายงานผลดำเนินงานรอบบัญชีปีที่ผ่านมา มีกำไร 554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4% จากปีก่อนหน้า (YoY) สาเหตุจากรายได้รวมลดลง 6.9% YoY เหลือ 7,137 ล้านบาท จากผลกระทบของค่าระวางเรือที่ลดลงอย่างมากตลอดครึ่งหลังปีที่ผ่านมากดดันให้ความสามารถทำกำไรถูกบั่นทอนไป ทั้งที่บริษัทฯ สามารถเพิ่มปริมาณงานขนส่ง และบริการที่เกี่ยวเนื่องแก่ลูกค้าได้เพิ่ม 10% อีกทั้งสามารถบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ด้วยกลยุทธ์ในการเพิ่มศักยภาพบริหารต้นทุนค่าขนส่งร่วมกับบริษัทในเครือ จนสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิได้ไม่ต่ำกว่า 7.76% ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เตรียมจ่ายปันผลสำหรับรอบบัญชีทั้งปี ในอัตราหุ้นละ 0.44 บาท สูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบเท่าตัว โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 8 มีนาคม และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม

ขณะเดียวกัน นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ WICE เปิดเผยแผนงานปีนี้ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตของปริมาณงานขนส่งและบริการที่เกี่ยวเนื่องแก่ลูกค้าเพิ่มขึ้น 15-20% เพราะคาดการณ์ว่า ค่าระวางเรือน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และค่อยๆ เห็นการปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 ของปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กิจกรรมทางการค้าและการลงทุน ทั้งในจีน และสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว หลังผ่านพ้น Low Season ช่วงเทศกาลตรุษจีน และระดับสินค้าคงคลังในสหรัฐฯ ที่สูง เริ่มเบาบางลง หนุนให้การขนส่งทางทะเลคึกคักมากขึ้น พร้อมกับส่งผลบวกต่อธุรกิจการขนส่งทางอากาศ และทางบกตามมาด้วย ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการเพิ่มบริการขนส่งสินค้า รวมถึงขยายเส้นทางให้ครอบคลุมทั่วภูมิภาคตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว

ที่สำคัญ บริษัทฯ จะยังคงเน้นการบริหารต้นทุนค่าขนส่งร่วมกับบริษัทในเครือให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้รักษาอัตราการทำกำไรให้อยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างต่อเนื่อง

 



สำหรับความร่วมมือทางธุรกิจที่บริษัทฯ เข้าไปดำเนินการตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในกรณีของเอ็น-สแควร์ อีคอมเมิร์ซ (N-square) เพื่อทำตลาดออนไลน์ในรูปแบบอีดิสทริบิวเตอร์ (E-distributor) บริหารการขายสินค้า ให้บริการขนส่งสินค้าจากประเทศต้นทางไปยังกลุ่มลูกค้าในประเทศ และมีการจัดการคลังสินค้าแบบพร้อมส่ง (Fulfillment Center) ปัจจุบันอยู่ระหว่างนำเสนอบริการให้กับลูกค้า คาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นในปีนี้ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ราว 100 ล้านบาท และในอนาคตยังจะช่วยขยายฐานลูกค้าเดิม ไปยังกลุ่ม B2B2C (Business-to-Business-to- Customer) ได้เพิ่มเติมด้วย

ส่วนกรณีของการพัฒนาที่ดินของ บมจ. สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) บริเวณโรงงานย่านถนนบางนา-ตราด กม. 15 จังหวัดสมุทรปราการ ให้เป็นคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าที่ทันสมัย ครบวงจร และให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม (Green Logistics Hub) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่อยอดสู่การพัฒนาในจังหวัดระยองต่อไป ได้เริ่มเข้าไปปรับปรุงและพัฒนาที่ดินแล้ว ก่อนจะพัฒนาให้เป็นคลังสินค้าและการให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร พร้อมเปิดให้บริการอย่างช้าปีหน้า

อย่างไรก็ตาม ในทรรศนะของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ กลับมีมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มกำไรของ WICE ในปีนี้ หลังจากกำไรสุทธิไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมาแย่กว่าคาด โดยลดลง 47% YoY และ 26% QoQ ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 26% หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติจะอยู่ที่ 93 ล้านบาท ลดลง 48% YoY และ 29% QoQ ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด 28% สาเหตุหลักจากรายได้ที่น้อยกว่าคาด อยู่ที่ 1,316 ล้านบาท ลดลง 45% YoY และ 17% QoQ จากธุรกิจขนส่งทางทะเล ที่มีสัดส่วน 50% ของรายได้ ถูกกดดันจากค่าระวางเรือที่ลดลงอย่างมาก แต่ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ราว 23% และธุรกิจขนส่งทางบก ที่มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 25% ยังทำได้ตามปกติ ส่งผลให้มีการปรับลดประมาณการกำไรลงมา

 

 

บัวหลวง (BLS) ปรับลดประมาณกำไรปีนี้ 24% มาอยู่ที่ 449 ล้านบาท ชะลอตัวจากปีก่อน 18% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายถูกปรับลงจาก 12.10 บาท มาเป็น 11.10 บาท จากแนวโน้มค่าระวางที่ไม่สู้ดี โดยเฉพาะในไตรมาสแรกปีนี้ที่ต่ำลงมาก จะกดดันแนวโน้มกำไรของบริษัทฯ ทำให้ยังไม่เห็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น และแนะนำ "ถือ"

ส่วนโนมูระ พัฒนสิน (CNS) ยังคงกำไรปีนี้ไว้ที่ 544 ล้านบาท อ่อนตัวลงจากปีก่อน 4% เพราะมองภาพอุตสาหกรรมมีโอกาสเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสินค้าคงทน เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็น 2 กลุ่มสินค้าหลักของบริษัทฯ รวมถึงความเสี่ยงเรื่องค่าระวางเรือที่อาจปรับตัวลดลงได้อีกบ้าง จากปริมาณกองเรือที่เพิ่มขึ้นในปีนี้

แต่คาดว่าปีหน้าจะได้เห็นการฟื้นตัวของรายได้และกำไร โดยคาดกำไรที่ 590 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 9% สาเหตุจากกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯ และการควบคุมต้นทุนที่จะเริ่มออกดอกออกผล พร้อมแนะนำ ชะลอลงทุน เพื่อรอสถานการณ์ในส่วนของค่าระวางเรือให้ผ่านจุดต่ำสุดไปก่อน อีกทั้งราคาหุ้นล่าสุด ซื้อขายบริเวณ PER ระดับ 11 เท่า เท่ากับกลุ่ม ทำให้แทบไม่มี upside จากราคาเป้าหมายที่ 10.50 บาท

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้