2355 จำนวนผู้เข้าชม |
การเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ของ บมจ. เอส. เอ. เอฟ. สเปเชียล สตีล (SAF) ไม่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายประชาชนครั้งแรก (IPO) แต่อย่างใด เมื่อราคาหุ้นยืนเหนือจองตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ได้หุ้นจองและขายช้าจะเสียโอกาสรับผลตอบแทนที่สูง ขณะที่นักเก็งกำไรส่วนใหญ่ต้องทำใจรับผลขาดทุน หรือติดหุ้นแทน เพราะหลังจากเปิดตลาดที่ 4.80 บาท สูงกว่าราคาจองที่ 1.93 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 148.7% มีแรงซื้อหนุนดันราคาขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวันที่ 4.84 บาท ก่อนจะเจอแรงขายกดราคาหุ้นให้ย่อตัวเป็นรอบๆ ก่อนจะทรุดตัวทำจุดต่ำสุดภาคเช้าที่ 2.78 บาท ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแรก
แต่หลังจากนั้น เริ่มมีแรงซื้อดันราคากลับขึ้นไปยืนแกว่งบริเวณ 3.30-3.50 บาท แต่หลังจากเปิดตลาดภาคบ่าย ราคายืนระยะได้ไม่นาน ก็เผชิญแรงกระหน่ำขายอย่างต่อเนื่อง กดให้ราคาหุ้นรูดตัวทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ 2.74 บาท ก่อนมีแรงซื้อดันราคาขึ้นไปปิดตลาดที่ 2.82 บาท สูงกว่าราคาจอง 89 สตางค์ คิดเป็นผลตอบแทน 46.1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3,226 ล้านบาท
แต่ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAF ยืนยันว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยทิศทางการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเกรดพิเศษสำหรับการผลิตแม่พิมพ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง และอุตสาหกรรมอาหาร รองรับความต้องการที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด รวมถึงมองหาโอกาสต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็น New S-curve เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งต่อยอดรายได้จากการให้บริการชุบแข็งเหล็กกล้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ครบวงจร เพิ่มโอกาสรับงานโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน เสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขัน ผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และสร้างผลตอบแทนที่ดีคืนกลับนักลงทุน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนจะขยายฐานการตลาดไปในภูมิภาคอินโดจีนเพิ่มเติม แต่ต้องหารือกับบริษัทผู้ผลิตเหล็กกล้าในเยอรมนีเพื่อให้เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเกรดพิเศษให้ครอบคลุมทั้งภูมิภาคแต่เพียงผู้เดียว
สำหรับภาพระยะสั้น การที่บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ลงทุนในคลังสินค้าและโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มปริมาณการจัดเก็บวัตถุดิบเพิ่มเท่าตัวเป็น 4,000 ตัน ช่วยให้การบริหารสินค้าคงคลังทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที รวมถึงลงทุนเตาชุบแบบไนไตรดิ้ง เพื่อเพิ่มขอบเขตการให้บริการทำได้ครบวงจรมากขึ้น และมีเงินทุนส่วนหนึ่งกันไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า จะมีการเติบโตของยอดขายช่วง 2 ปีนี้ ในอัตรา 23-28%