2881 จำนวนผู้เข้าชม |
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินภาพตลาดหุ้นไทยไตรมาสแรก ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.8% สูงกว่าเศรษฐกิจโลกที่คาดเติบโต 2.6% หนุนโดยภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในอัตรา 6% แต่หากตัดกลุ่มพลังงานออกไป คาดจะเติบโตได้สูงถึง 11.7% และมีกระแสเงินทุน (Fund Flow) มีแนวโน้มไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีความคาดหวังต่อนโยบายรัฐบาลใหม่เมื่อใกล้เข้าสู่เลือกตั้ง ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยในประเทศอีก 0.50-0.75% ทั้งเพื่อทำให้ดอกเบี้ยแท้จริงติดลบน้อยลง และรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท การเก็บภาษีขายหุ้น ที่คาดจะมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 2 ที่จะถึงนี้ และความผันผวนของราคาหุ้น DELTA ที่ทุกการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น 1% จะกระทบดัชนี 0.85 จุด คอยจำกัด upside ของตลาดอยู่ก็ตาม โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,667-1,740 จุด ซึ่งหากดัชนีไต่ขึ้นใกล้เคียงเป้าหมายกรอบบน ให้ระมัดระวังแรงขายทำกำไรไว้ด้วย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย ASPS แนะนำให้กระจายพอร์ตลงทุนในหุ้น 3 ธีม (Theme) คือ ธีมการบริโภคในประเทศ (Domestic Consumption) เลือก STEC, COM7 และ GULF ธีมจีนเปิดประเทศ (China Plays) นำโดย AOT และธีมปันผล (Dividend Plays) เน้นที่ไปที่ AP และ ASK
ขณะที่ ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (TNITY) มองคล้ายกันว่า ตลาดหุ้นไทยไตรมาสแรกจะสดใสที่สุด แรงหนุนจากการที่จีนเปิดประเทศหนุนให้เศรษฐกิจโต ผ่านการท่องเที่ยว การลงทุนโดยตรง รวมถึง Fundflow ไหลเข้าในภูมิภาคอาเซียน เพราะการลงทุนได้ผลประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง และเงินเฟ้อที่ลดลง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งในกรอบ 300 จุด (เทียบเท่า 13 เท่าของกำไรต่อหุ้นที่ 117 บาท และ 15 เท่า ของกำไรต่อหุ้นที่ 117 บาท ในปีหน้า) โดยช่วงไตรมาสแรกจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นภูมิภาคอาเซียนให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด แต่คาดว่านับตั้งแต่ไตรมาส 2 นักลงทุนต่างประเทศเริ่มหาจังหวะที่จะลดการลงทุนหุ้นในภูมิภาคลง เพราะคาดว่าทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะกลับจากขาขึ้น เป็นการคงดอกเบี้ย ก่อนจะลดดอกเบี้ย ช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลให้มีแรงเทขายหุ้นในภูมิภาคอาเซียนอย่างน้อย 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของเงินทุนที่ไหลเข้ามาตั้งแต่ปลายปีก่อน กว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อคงน้ำหนักการลงทุนหุ้นตามดัชนี MSCI Emerging Market
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนเป็น Sector Rotation โดยให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) ในหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มโทรคมนาคม แต่ให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด (Underweight) กลุ่มพลังงาน
ทั้งนี้ การตัดสินใจเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ช่วงกลางปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และจะมีผลต่อทิศทางตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งในเบื้องต้น ผู้บริหาร TNITY คาดการณ์ไว้ 3 กรณี ได้แก่
กรณีฐาน Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาสแรก สู่ระดับ 5% แล้วหยุดทั้งปี (มีโอกาสเกิด 35-40%) ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะ Sideway up แต่ Fundflow จะทยอยเคลื่อนย้ายมาสู่เอเชียเหนือมากขึ้น
กรณีปกติ Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาสแรก สู่ระดับ 5% แล้วปรับลดลงกว่า 1.0-1.5% ในไตรมาส 4 (มีโอกาสเกิด 30-35%) ผลคือ ตลาดหุ้นเกิดใหม่จะ outperform
กรณีเลวร้ายที่สุด Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาสแรก สู่ระดับ 5% และหยุด ก่อนปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปีสู่ระดับ 6.5% (มีโอกาสเกิด 20%) ผลคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับฐาน