2413 จำนวนผู้เข้าชม |
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) ที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป (PRTR) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะพร้อมจัดงานนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (โรดโชว์) ตามแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงต้นปีหน้า
ทั้งนี้ PRTR ทำธุรกิจให้บริการจัดจ้างพนักงาน และสรรหาบุคลากรชั้นนำของประเทศไทย ที่มีการให้บริการแบบครบวงจร ทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ มายาวนานกว่า 29 ปี จนเป็นที่รู้จักและให้การยอมรับจากองค์กรไทยและต่างประเทศในหลากหลายธุรกิจ
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ PRTR จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายฐานตลาด เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน HR อันดับหนึ่งในประเทศไทย และระดับภูมิภาคในอนาคต
ที่สำคัญ ในการเข้าซื้อขายวันแรก ทางผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ราย ได้แก่ นายพอล เดวิด ชอนดี้, นายริชาร์ด ฮิวจ์ เบนเนต และนางสาวจารุวรรณ พานิชเจริญ ได้ตัดสินใจขายหุ้นรวมกัน 90 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15% ให้กับพันธมิตรใหม่ของบริษัทฯ กลุ่ม บมจ.เจมาร์ท (JMART) ในราคา IPO โดย KGI จะนำหุ้นทั้งหมดเก็บเข้าไว้ในพอร์ตทั้งหมด ตอกย้ำให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพการทำธุรกิจ HR ของ PRTR ในระยะยาว
ขณะที่นางสาวริศรา เจริญพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRTR เสริมว่า การเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับบริษัทฯ สู่การเป็นผู้นำ HR ยุคดิจิทัล ที่สอดรับไปกับการดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่นองค์กรที่สามารถให้บริการงานด้านทรัพยากรบุคคลครบวงจร (Total HR Solutions) ให้ตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพิ่มโอกาสในการเติบโตสู่การเป็นองค์กรด้านบุคลากรอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างที่บริษัทฯ มุ่งหวังไว้
สำหรับภาพรวมผลดำเนินงาน PRTR ย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2562–64) มีการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 10.8% โดยมีรายได้จากการให้บริการ 4,525 ล้านบาท 4,866.3 ล้านบาท และ 5,555.9 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 122.0 ล้านบาท 120.7 ล้านบาท และ 183.2 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าในประเทศ
ขณะที่ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 2,960.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น10.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 96.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจบริหารบุคลากร (Outsource) ในสัดส่วน 95.7% ตามมาด้วยธุรกิจให้บริการสรรหาบุคลากร (Recruitment 4.1%) และธุรกิจให้บริการฝึกอบรมและสัมมนา (Integrated Learning Service) 0.1% โดยมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 57.9% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นจากการขยายฐานรายได้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่