2525 จำนวนผู้เข้าชม |
นายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร กรรมการ และผู้อำนวยการโรงพยาบาล บมจ. เอกชัยการแพทย์ (EKH) ผู้ประกอบธุรกิจสถานพยาบาลเอกชนในจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ในปีใหม่นี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังคงมีเป้าหมายจะขยายงานด้านสุขภาพต่างๆ รวมถึงลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ทั้งเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการประชาชนได้ทั่วถึงมากขึ้น และเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ โดยเตรียมงบลงทุน 70 ล้านบาท เพื่อขยายศูนย์ไตเทียม ขยายเตียงบริการฟอกเลือดเพิ่มอีก 14 เตียง รวมเป็น 24 เตียง รวมถึงขยายเตียงเพิ่มจาก 142 เตียงเป็น 200 เตียง และขยายศูนย์บริการทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้ป่วยเฉพาะทางที่มีรายได้ต่อหัวที่สูงขึ้น หลังจากได้ดำเนินการปรับปรุงและขยายแผนกฉุกเฉินในช่วงที่ผ่านมา และเริ่มเปิดให้บริการเรียบร้อยแล้ว
สำหรับศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) คาดว่า บรรยากาศการกลับเข้ามาใช้บริการของลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีนจะฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ โดยตั้งเป้าลูกค้ามาใช้บริการจำนวน 300 คู่ ขณะที่การเปิดให้บริการโรงพยาบาลคูน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ น่าจะช่วยสนับสนุนให้รายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน ยังจะออกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพภายใต้แบรนด์ของโรงพยาบาล เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม ทำให้มั่นใจรายได้ปีหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
"ปี 2566 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่บริษัทฯ รุกขยายศูนย์ให้บริการด้านต่างๆ อย่างเข้มข้นต่อเนื่องจากปีนี้ โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษา และมีแผนจะขยายโครงการโรงพยาบาลเฉพาะทางเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทำให้มีขีดความสามารถในการรองรับการเข้ามาใช้บริการของคนไข้เพิ่มขึ้น เพื่อผลักดันผลดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง" นายแพทย์อำนาจ สรุปประเด็น
มุมมองของผู้บริหาร EKH ได้รับการขานรับจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกรไทย (KS) ว่า การที่ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีหน้าเติบโต 10% พร้อมคาดจำนวนเคส IVF ที่ 300 เคส ถือได้ว่าค่อนข้างอนุรักษ์นิยม เพราะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด ขณะที่ผลดำเนินงานจากผู้ป่วยทั่วไปไม่เกี่ยวกับโควิดดีขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีรายได้จากผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นจากการเป็นโรคประจำถิ่นในไตรมาส 4
ส่วนผลดำเนินงานของโรงพยาบาลคูนดีขึ้น และสอดคล้องกับที่ผู้บริหารคาดไว้ว่าจะเริ่มมีกำไรรายไตรมาสในปีหน้า ซึ่งเมื่อคิดรวมในประมาณการแล้ว ฝ่ายวิจัยฯ คำนวณมูลค่าหุ้นด้วยวิธี NAV ได้ราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 9.60 บาท อิงจากจำนวนหุ้นที่ 820 ล้านหุ้น (Fully diluted) แบ่งเป็นมูลค่าจากธุรกิจบริการโรงพยาบาลที่ 8.70 บาท และมูลค่าจากการถือหุ้น 7.3% ใน บมจ. เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) อิงราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 44.50 บาท อีก 0.90 บาท ซึ่งราคาเป้าหมายดังกล่าว สะท้อน PER ปี 2567 ที่ 29.7 เท่า ใกล้เคียงระดับเฉลี่ย 5 ปีของ EKH ที่ 29.9 เท่า
อย่างไรก็ตาม ดาโอ (DAOL) ยังคงประมานการกำไรปีที่ผ่านมา 258 ล้านบาท (-25% YoY) แต่ปรับกำไรปีนี้ขึ้น 4% เป็น 257 ล้านบาท จากการปรับรายได้ของศูนย์ IVF เพราะคาดว่าจะมีผู้เข้ารับบริการ 350 คู่ (เดิมคาด 300 คู่) หนุนโดยฐานลูกค้าชาวจีน ประกอบกับคาดอัตราการทำกำไรปีนี้และปีหน้าจะยังคงลดลงจากฐานที่สูงจากรายได้โควิด ขณะที่โรงพยาบาลคูนยังไม่สามารถคืนทุนโดยคาดน่าจะเห็นกำไรได้ในปีหน้า พร้อมปรับราคาเป้าหมายเป็น 9 บาท
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ แนะนำแค่ "ถือ" จากการที่ราคาหุ้นปรับขึ้นมากว่า 4% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ตอบรับข่าวจีนเปิดประเทศวันที่ 8 มกราคมไปพอสมควรแล้ว โดยซื้อขายบริเวณ PER ปีหน้าที่ 19.8 เท่า (เทียบเท่า -1SD below 5-yr average PER)
สำหรับภาพระยะสั้น ดาโอคาดกำไรไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะลดลงทั้งรายปี (YoY) และรายไตรมาส (QoQ) จากฐานของรายได้โควิดที่สูงและปัจจัยฤดูกาล