2588 จำนวนผู้เข้าชม |
การเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ บมจ. เอสจี แคปปิตอล (SGC) ไม่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายประชาชนครั้งแรก (IPO) แต่อย่างใด เมื่อราคาหุ้นยืนเหนือจองตลอดวัน โดยหลังจากเปิดตลาดที่ 4.06 บาท สูงกว่าราคาจองที่ 3.90 บาท เพียง 16 สตางค์ เริ่มเห็นแรงซื้อกระจายตัวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หนุนให้ราคาไต่ขึ้นไปเป็นลำดับ แม้จะมีแรงขายทำกำไรกระจายตัวออกมาบ้าง แต่แรงซื้อที่หนาแน่นกว่าทำให้ราคาหุ้นยืนเหนือจองตลอดทั้งวัน กระทั่งปิดตลาดที่จุดสูงสุดของวันที่ 5 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 28.21% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5,655 ล้านบาท ก่อนจะหรับขึ้นมาแกว่ง 5.40-5.50 บาท ในวัดถัดมา
โอกาสนี้ นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ SGC ขอบคณนักลงทุนที่ให้ความเชื่อมั่นต่อบริษัทฯ จนทำให้การเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี พร้อมยืนยันว่าจะบริหารธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน บนหลักธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อผู้ถือหุ้น รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ผ่านแผนรุกปล่อยสินเชื่อสู่เป้าหมาย 50,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 หรือเติบโตต่อปีไม่ต่ำกว่า 32% จากสิ้นไตรมาส 3 ปีนี้ ที่มีมูลค่าลูกหนี้ 15,102 ล้านบาท โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างรัดกุม เพื่อควบคุมหนี้เสีย (NPLs) ไม่ให้เกิน 4% ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้และกำไรในอนาคตให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เป็นหุ้นเติบโต (Growth stock) ที่อยู่ในใจนักลงทุน ขณะที่แบรนด์ "SG Capital" จะเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่ทุกคนนึกถึงหากต้องการการสนับสนุนสินเชื่อ
สำหรับแผนเติบโตระยะสั้น เฉพาะปีหน้า บริษัทฯ จะมุ่งเน้นขยายสินเชื่อ "รถทำเงิน" เป็นหลัก เพื่อสร้างการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อโดยรวม โดยอาศัยจุดแข็งจากความใกล้ชิดลูกค้า รวมทั้ง Ecosystem จากบริษัทแม่ บมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) และกลุ่ม บมจ. เจมาร์ท (JMART) และเครือข่ายพันธมิตรที่มีในทุกภูมิภาค สร้าง synergy ให้ SGC สามารถสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ได้อีก ทั้งสินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ในครัวเรือน (Home Appliances) เครื่องใช้ไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (Commercial Appliances) เครื่องจักร (Captive Finance) รวมถึงสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และสินเชื่อผ่อนทอง (Click2Gold)
ซึ่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เชื่อมั่นว่า แผนงานข้างต้นจะทำให้ SGC มีการเติบโตของสินเชื่อปีหน้าสูงถึง 30% และมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงที่สุดในกลุ่มไฟแนนซ์
ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บอกว่า SGC น่าจะมีการเติบโตเฉลี่ย 3 ปีนี้ ในอัตรา 33% หนุนโดยการเติบโตของสินเชื่อ การควบคุมคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ (Credit cost) ค่อนข้างทรงตัวในช่วง 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมลดลงจากขนาดการดำเนินงานที่ใหญ่ขึ้น หนุนให้กำไรปกติเติบโตจาก 651 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มเป็น 918 ล้านบาท และ 1,145 ล้านบาท ใน 2 ปีข้างหน้า คิดเป็นมูลค่าเหมาะสมที่ 5.50 บาท อิง P/BV ปีหน้าที่ 2.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่า P/BV ของธุรกิจการเงินที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคประเภทมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเหมือนกัน
ส่วนกสิกรไทย (KS) ระบุว่า SGC จะรายงานกำไรสุทธิ 3 ปีนี้ (2565-67) ที่ 666 ล้านบาท 953 ล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 26.3% ปัจจัยหนุนหลักจากการเติบโตของสินเชื่ออย่างแข็งแกร่งที่ 49.7% 39.4% และ 24.1% ตามลำดับ และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ที่ลดลง เพราะการรุกขยายสินเชื่อรถทำเงินมีความเสี่ยงน้อยกว่าสินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ หนุนให้คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมของ SGC ในระยะยาวแข็งแกร่งมากขึ้น คิดเป็นราคาเป้าหมายสิ้นปีหน้าที่ 5.50 บาท อิง P/BV ที่ 2.5 เท่า สูงกว่าคู่แข่งกลุ่มสินเชื่อทะเบียนรถเป็นหลักประกันเล็กน้อย
ขณะที่เอเซีย พลัส (ASPS) ให้ราคาเหมาะสมปีหน้าที่ 6.20 บาท สูงกว่าค่ายอื่นๆ เพราะคาดแนวโน้มกําไรสุทธิปี 2565-67 ของ SGC จะเติบโต 9% 43% และ 36% ตามลําดับ จากการเร่งปล่อยสินเชื่อจํานําทะเบียนรถบรรทุกมากขึ้น ผลักดันให้แนวโน้มสินเชื่อสุทธิปี 2565-67 คาดเติบโต 37.7% 31.4% และ 32.1% ตามลําดับ นอกจากนี้ ธุรกิจยังได้ผลบวกจากค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงหลังได้เงินระดมทุน เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับฐานะการเงิน ซึ่งจะสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจในระยะต่อไป