ASPS เชื่อหุ้นไทยไตรมาส 4 เป็นขาขึ้น แนะลงทุน Domestic Plays Re-Opening เสริมด้วย Defensive

2551 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ASPS เชื่อหุ้นไทยไตรมาส 4 เป็นขาขึ้น แนะลงทุน Domestic Plays Re-Opening เสริมด้วย Defensive

ฝ่ายวิจัย เอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทยไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ว่า น่าจะใกล้ผ่านพ้นแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัยลบภายนอก ทั้งความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน การเร่งตัวของเงินเฟ้อ การดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และความเสี่ยงจากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ไปได้แล้ว และมีโอกาสเห็นการดีดตัวกลับขึ้นไปสู่ดัชนีเป้าหมายสิ้นปีที่ 1,730 จุด ได้ เพราะได้ปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว หนุนด้วยค่าเงินบาทที่มีทิศทางชะลอการอ่อนค่า ประกอบกับ Valuation ของตลาดอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เป็นปัจจัยดึงดูดให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง   

โดยนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย ASPS ให้เหตุผลว่า เริ่มเห็นการผ่อนคลายของปัจจัยภายนอกแล้ว อย่างความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ตลาดมีการตอบรับกับข่าวมานานกว่า 7 เดือน ซึ่งหากความเสี่ยงถูกจำกัดเฉพาะในพื้นที่ยูเครน และไม่นำสู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกัน จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไม่มาก ส่วนเงินเฟ้อ เริ่มเห็นว่าหลายประเทศมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดได้แล้ว หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับลงใกล้เคียงกับช่วงต้นปี ส่งผลให้แรงกดดันในการใช้นโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางต่างๆ ลดลง แม้แต่ Fed ที่ยังมีการคาดหมายกันว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ น่าจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยอีกแค่ 1% และปีหน้าอีก 0.25% ก่อนจะลดลงในช่วงครึ่งหลังปีหน้า ขณะที่แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ เกิดภาวะ Technical Recession ไปแล้ว ส่วนยุโรปแม้จะมีความเสี่ยงจากภาวะ Recession แต่มีการทยอยปรับลดคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจต่างๆ สะท้อนถึงการรับรู้ของตลาดไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว  

ที่สำคัญ ปัจจัยภายในประเทศกลับอยู่ในโหมดฟื้นตัว ตามการเปิดประเทศที่ผลักดันให้ภาคการบริโภคในประเทศ การท่องเที่ยว และการปรับแผนการใช้จ่ายภาครัฐมาให้ความสำคัญกับการลงทุนมากกว่าการเยียวยาผลกระทบจากโควิดที่เด่นชัดมากขึ้น ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงิน แม้ ธปท. จะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย แต่จะดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีนี้ น่าจะอยู่ที่ 1.25% เทียบกับดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.25% อีกทั้งการอ่อนค่าของเงินบาท เชื่อว่าในไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะชะลอการอ่อนค่าลง ตามการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลง ส่วนหนึ่งจากราคาพลังงานที่ปรับลง ช่วยลดผลกระทบของการขาดดุลการค้า และอีกส่วนหนึ่งมาจากดุลบริการที่สดใสขึ้นรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่เริ่มเข้าสู่ High Season  

นอกจากนี้ หุ้นไทยยังได้อานิสงค์จากการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ สะท้อนผ่านการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติทั้งปีกว่า 1.4 แสนล้านบาท หลังจากขายสุทธิ (Net Sell) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 เรื่อยมา และอีกส่วนหนึ่งดูจากการขายหุ้นในสหรัฐฯ เพื่อโยกเงินเข้าตลาดตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็งกำไรผลตอบแทนจากราคา หรือดอกเบี้ยพันธบัตรที่ปรับตัวสูงในช่วงที่ผ่านมา

 

 

แต่เมื่อใกล้ถึงจุดอิ่มตัว คาดว่า จะเริ่มเห็นการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ กลับเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ที่ภาพเศรษฐกิจยังมีการเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว

ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย ถึงแม้แนวโน้มกำไรรวมไตรมาส 3 จะต่ำกว่าไตรมาส 2 แต่จะฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปียังเติบโตได้ดี โดยฝ่ายวิจัย ASPS ประเมินกำไรต่อหุ้นปีนี้ ที่หุ้นละ 96.10 บาท เติบโตจากปีก่อน 12% และคาดกำไรต่อหุ้นปีหน้าที่หุ้นละ 101.10 บาท เติบโตจากปีนี้ 5% อิงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้ ที่บาร์เรลละ 100 เหรียญสหรัฐฯ และ 90 เหรียญสหรัฐฯ ในปีหน้า ถึงแม้กลุ่มโอเปคพลัส จะประกาศลดกำลังการผลิตลงอีกวันละ 2 ล้านบาร์เรล แต่ถือว่าไม่มีนัยสำคัญ เพราะในอดีตเคยมีการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันมากกว่านี้ จึงยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีไว้ที่ 1,730 จุด คิดเป็นระดับ Market Earning Yield Gap ที่ 4.3% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 4.2%

ฝ่ายวิจัย ASPS แนะนำลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ใน 3 ธีม คือ หุ้นที่พึ่งพิงการบริโภคในประเทศ (Domestic Plays) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ (Re-opening) และหุ้นปลอดภัย (Defensive) ซึ่งเป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นโลกปีนี้น้อยที่สุด ซึ่งเมื่อคัดเลือกหุ้นโดยพิจารณาจากทั้งปัจจัยพื้นฐาน เงินปันผล และมูลค่าหุ้น ฝ่ายวิจัย ASPS เลือกหุ้น 7 ตัว ได้แก่ ADVANC, ASK, BBL, BEM, CENTEL, HMPRO, GULF

 

สำหรับการลงทุนระยะสั้น เดือนตุลาคม เห็นโอกาสเข้าลงทุนในหุ้น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Anti Commodity ที่ราคาขยับเชื่องช้า ฟื้นจากจุดต่ำสุดของปีไม่มาก โดยแนะนำเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้น GPSC, BGRIM, CBG กลุ่มได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้น แม้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้น BBL, BLA, TLI และกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวฟื้นตัว  แนะนำ ทยอยซื้อสะสมหุ้น ERW, AOT, BEM, PLANB

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้