1778 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ราช กรุ๊ป (RATCH) ประกาศผลดำเนินงานงวดครึ่งแรกปีนี้ มีรายได้รวม 36,699.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เพราะสามารถรับรู้กำลังการผลิตที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตามการถือหุ้นรวม 7,384.63 เมกะวัตต์ (MW) จากกำลังการผลิตรวม 9,219.33 MW หนุนโดยกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าราชบุรี กลุ่มโรงไฟฟ้าในออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำอาซาฮาน ในอินโดนีเซีย โรงไฟฟ้าสหโคเจนชลบุรี และโรงไฟฟ้าที่เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์อีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว ในอินโดนีเซีย ที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าอินโดนีเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ภายใต้สัญญาระยะยาว 25 ปี กับโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง ที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภายใต้สัญญาระยะยาว 25 ปี แต่เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาเชื้อเพลิงที่ถีบตัวเป็นเท่าตัว และมีค่าใช้จ่ายในการบริหารต้นทุนทางการเงิน และการจัดหาเงินทุนเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต ทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น และกดดันให้กำไรสุทธิลดลง 10.3% YoY มาอยู่ที่ 3,775.45 ล้านบาท
สำหรับงบลงทุนในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีการใช้เงินทั้งสิ้น 1,454.81 ล้านบาท ใน 4 โครงการเดิมในธุรกิจผลิตไฟฟ้า และ 1 โครงการใหม่ในธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า
โอกาสนี้ นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ RATCH ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนทั้งปี 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า 28,000 ล้านบาท เพื่อรองรับโครงการใหม่ 26,500 ล้านบาท และโครงการเดิม 1,500 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนในธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า วางไว้ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนในโครงการใหม่ 1,400 ล้านบาท และโครงการเดิม 600 ล้านบาท โดยแนวทางการลงทุน บริษัทฯ จะยังคงยึดรูปแบบการซื้อกิจการ หรือร่วมทุนในกิจการที่ดำเนินงานแล้ว เพราะนอกจากจะรักษาเสถียรภาพของกระแสเงินสด และสภาพคล่องของบริษัทฯ ได้แล้ว ยังช่วยให้เป้าหมายของบริษัทฯ ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และมีคุณค่าร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสีย เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ RATCH ยังคงมุ่งมั่นขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าปีนี้รวม 700 MW โดยอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักและพลังงานทดแทน ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าในบางโครงการ ภายในไตรมาส 3 นี้ ส่วนธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า วางงบลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท พุ่งเป้าที่ธุรกิจบริการสุขภาพ และนวัตกรรมด้านพลังงาน โดยดำเนินการผ่าน อินโนเพาเวอร์ ที่บริษัทฯ ร่วมถือหุ้นในสัดส่วน 30%
ในเบื้องต้น บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาในครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ในเวียดนาม กำลังการผลิตตามการถือหุ้น 15.16 MW และส่วนขยายของโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น กำลังการผลิตตามการถือหุ้น 31.20 MW พร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์
ผู้บริหาร RATCH ยังพูดถึงยุทธศาสตร์ในการดำเนินงานของบริษัทฯ ปีนี้ ด้วยว่า จะขับเคลื่อนตามกลยุทธ์ 3G โดย G ตัวแรก (Growth) มุ่งแสวงหาโอกาสเติบโตในธุรกิจเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต G ตัวที่สอง (Green) สนับสนุนด้านพลังงานทดแทน และยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาลตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ G ตัวที่สาม (Generate) เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า และพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ จนกำหนดเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนและเป้าหมายในปี 2573 อย่างรอบด้านแล้ว
สำหรับฐานะการเงินของ RATCH ณ วันที่ 30 มิถุนายน มีสินทรัพย์รวม 188,519.68 ล้านบาท หนี้สินรวม 79,104.32 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 109,415.36 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ 8.25% ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.24 เท่า
สำหรับมุมมองนักวิเคราะห์ เสียงส่วนใหญ่บอกว่า กำไรครึ่งปีแรกสอดคล้องกับที่ตลาดประเมิน แต่น่าจะเห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง ทำให้การจับจังหวะลงทุนช่วงนี้ น่าจะได้กำไรจากส่วนต่างราคาที่จูงใจ เพราะราคาหุ้นล่าสุดต่ำเกินไป
ดาโอ (DAOL) ระบุว่า การเติบโตในครึ่งปีหลัง มีปัจจัยขับเคลื่อนจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 931 MW ส่วนในระยะยาว การเพิ่มทุนช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อทุนสุทธิลดลงต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีเงินลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 4-6 หมื่นล้านบาท มีความพร้อมสำหรับขยายธุรกิจเพิ่มเติมในระยะยาว และเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้หุ้นกลับมา outperform ได้ในระยะถัดไป หลังจากในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้น underperform ตลาดกว่า 9% ทั้งจากการประกาศเพิ่มทุนที่อัตรา 1.885 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ และยังมีการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งขัดกับแนวทาง ESG ดังนั้น จึงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าพื้นฐานที่ 50 บาท
ขณะที่หยวนต้า (YUANTA) คาดกำไรปกติในไตรมาส 3 ที่ 2,200 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย QoQ แต่เติบโตเด่น YoY จาก 4 เหตผล ประการแรก บริษัทฯไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าที่เป็นแหล่งรายได้หลัก ประการที่สอง ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นค่า Ft งวดเดือนกันยายน ถึงธันวาคม ประการที่สาม RATCH จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า NRER แบบเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก และประการสุดท้าย จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton ในอินโดนีเซีย หลังธุรกรรมการเข้าลงทุนเสร็จสิ้นในปลายไตรมาส 3 จึงคงประมาณการกำไรปกติทั้งปีที่ 8,266 ล้านบาท เติบโต 14% YoY แต่ปรับราคาเหมาะสมสิ้นปีนี้ขึ้นเป็น 57.00 บาท คิดเป็น upside 41.6% เพราะราคาปัจจุบันซื้อขายบน PER ปีนี้ และ PER ปีหน้า เพียง 10.6 เท่า และ 7.2 เท่า ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่ากลุ่ม
นอกจากนี้ เมื่อย้อนดูสถิติ 5 ปีย้อนหลัง ฝ่ายวิจัย พบว่า บริษัทฯ มักประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ภายใน 2 สัปดาห์หลังรายงานงบการเงินครึ่งปีแรก จึงแนะนำ “ซื้อ” ทั้งเพื่อรับเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายในอัตรา 1.15 บาท (Dividend Yield 2.9%) และการได้ประโยชน์จากราคาหุ้นมี Downside ที่จำกัด