1532 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. วนชัย กรุ๊ป (VNG) รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2 สรุปสาระสำคัญได้ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 3,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,254.2 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และมีกำไร 359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.9 ล้านบาท YoY เนื่องจากยอดขายแผ่นเอ็มดีเอฟเพิ่มขึ้น 68% หนุนด้วยราคาขายเฉลี่ยของแผ่นเอ็มดีเอฟ และแผ่นปาร์ติเกิ้ลเพิ่มขึ้น 11% และ 12% ตามลำดับ แต่ถูกกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่ม ฉุดให้กำไรขั้นต้นปรับลดจากไตรมาส 2 ปีก่อน ที่ทำได้ 28.1% เหลือ 22.1%
สำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% YoY และมีกำไร 677 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% YoY โดยได้รับปัจจัยหนุนจากแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่สามารถตอบความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและยอดขายตามมา ขณะเดียวกัน บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนทั้งค่าพลังงาน และค่าขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังได้อานิสงค์จากการเริ่มต้นธุรกิจขนส่ง ของบริษัท วนชัย โลจิสติกส์ ในไตรมาส 2 ช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่ง และพร้อมจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีแรก หุ้นละ 10 สตางค์ ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 สิงหาคมนี้ ก่อนจ่ายเงินจริงในวันที่ 2 กันยายน
โอกาสนี้ นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร VNG เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังด้วยว่า ยังสดใสต่อเนื่อง เพราะบริษัทฯ มีฐานลูกค้าต่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาเซียน และเอเชียตะวันออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระหว่างยูเครน กับรัสเซีย ในวงจำกัด อีกทั้งได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินบาท ช่วยกระตุ้นยอดขาย นอกจากนี้ เมื่อสถานการณ์โควิดในประเทศเริ่มคลี่คลาย ผู้บริโภคเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น ทำให้บริษัทฯ เริ่มกลับมารุกตลาดค้าปลีกอีกครั้ง เพิ่มช่องทางกระจายสินค้าให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
ขณะเดียวกัน โรงงานผลิตไม้อัด OSB ซึ่งมีการปรับปรุงเครื่อง stander บดไม้ เพื่อลดต้นทุน คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในไตรมาส 3 นี้ เช่นเดียวกับการเริ่มผลิตและจำหน่ายสินค้าจากโรงงานผลิตไม้อัด Plywood
สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่สุราษฎร์ธานี กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ (MW) สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าปีหนึ่งๆ 120 ล้านบาท อีกทั้งในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายโครงการโซลาร์รูฟท็อป เฟสสอง ที่โรงงานจังหวัดสระบุรี กำลังผลิต 3.328 MW ด้วยงบลงทุน 125 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ไตรมาสสุดท้ายทันที ซึ่งหากคิดรวมโครงการโซลาร์รูฟท็อป ที่โรงงานสระบุรี ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าปลายปีนี้ทั้งสิ้น 12.66 MW ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทฯ ได้ปีละไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์ ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินว่าช่วงไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่ VNG มีผลดำเนินงานดีที่สุดในปีนี้ เนื่องจากเป็นฤดูส่งออกสินค้า ประกอบกับบริษัทฯ มีอัตราการใช้เครื่องจักรผลิตแผ่นเอ็มดีเอฟ แผ่นปาร์ติเกิ้ล และแผ่นไม้อัดเกล็ดเรียงชิ้น (OSB) ที่ระดับใกล้เคียง 100% ซึ่งเมื่อมองภาพกําไรสุทธิครึ่งปีแรก ที่มีน้ำหนักต่อประมาณการกำไรทั้งปีราว 45% ประกอบเข้าด้วยกัน ยังเชื่อมั่นว่า VNG จะทํากําไรปีนี้ได้เติบโต 15-20% จากปีก่อน โดยฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไรปีนี้ราว 1,500 ล้านบาท
พร้อมแนะนำ "ซื้อ” เพราะสามารถคาดหวังได้ทั้ง upside จากราคาที่สูงเกิน 70% (ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 12.90 บาท อิง PER 15 เท่า) และเงินปันผลที่คาดว่าจะสูงถึง 5.5%