657 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจาก บมจ. สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปีก่อน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) 13% และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) 98% เป็น 747 ล้านบาท สูงกว่าตลาดคาด 9% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ดีกว่าคาด โดยเพิ่มขึ้น 25.5% จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้า House brand ควบคู่ไปกับการปรับเพิ่มราคาสินค้า House brand รวมถึงสามารถต่อรองราคาสินค้ากับซัพพลายเออร์ได้ดีขึ้น ขณะที่ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโต 15% หนุนด้วยการเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 4 สาขา ทำให้ยอดขายเติบโต 20% YoY และ 7% QoQ เป็น 8.25 พันล้านบาท ส่งผลต่อเนื่องให้กำไรสุทธิทั้งปีขยายตัว 71% YoY เป็น 3.34 พันล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ฺ
พร้อมกันนั้น บริษัทฯ ยังประกาศจ่ายเงินปันผลทั้งในรูปเงินสด และหุ้นปันผล โดยจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.2548 บาท ขณะที่หุ้นปันผล กำหนดสัดส่วนที่ 23 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล ขึ้นเครื่องหมาย XD วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
ผลดำเนินงานที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มค้าวัสดุก่อสร้าง รวมถึงประเด็นในการลงทุน ระดับราคาหุ้น และความน่าสนใจในการจ่ายปันผลเป็นหุ้น และเงินสด ทำให้นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหลายค่ายประสานเสียงให้ซื้อลงทุน เพราะมีความคุ้มค่าในระยะสั้น และะสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว จากการลงทุนต่างประเทศ
โนมูระ พัฒนสิน (CNS) แนะนำ “ซื้อลงทุน” ด้วยเหตุผลว่า ราคาหุ้นยัง Laggard โดยล่าสุดซื้อขายบริเวณ P/E ปีนี้ระดับ 27 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E –1.0SD และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีก ที่ล่าสุดซื้อขายบริเวณ P/E 28 – 29 เท่า ขณะที่โมเมนตัมกำไรปีนี้ ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ในระยะสั้น คาดกำไรสุทธิไตรมาสแรกเติบโตต่อเนื่อง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล และลุ้นทรงตัว YoY ที่ 900-950 ล้านบาท หนุนโดยราคาเหล็กที่กลับเป็นขาขึ้นอีกครั้งในปัจจุบัน ประกอบกับกำลังซื้อต่างจังหวัดยังดูดี ช่วยหนุนให้ SSSG เดือนมกราคมยังขยายตัวได้ 10% ส่วนช่วงที่เหลือของปี มีแรงหนุนเพิ่มจากแผนกขยายสาขาของบริษัทฯ ที่จะเร่งขึ้นเป็น 7 - 8 แห่ง (รวมกัมพูชา) จากที่เปิดเพียง 4 แห่งในปีก่อน ดังนั้น จึงคาดกำไรสุทธิทั้งปีเติบโต 2% เป็น 3.40 พันล้านบาท โดยให้น้ำหนักกำไรจะเติบโตเด่นในครึ่งปีหลัง
ส่วนในระยะยาว (2-3 ปีขึ้นไป) ยังมีช่องว่างในการเปิดสาขาในพื้นที่ใหม่ๆ อีกมาก ทั้งในไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคใต้ รวมถึงในภูมิภาคอาเซียน ทั้งกัมพูชา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย จึงแนะนำ “ซื้อลงทุน” โดยให้ราคาเหมาะสมก่อน และหลัง XD ที่ 28 บาท และ 26.50 บาท ตามลำดับ
ส่วนเคทีบี ประเทศไทย (KTBST) ประเมินกำไรสุทธิปีนี้ที่ 3.49 พันล้านบาท (+4%YoY) หนุนโดยรายได้ที่เติบโต 10% จาก 3 เหตุผล ประการแรก การเปิดสาขาเพิ่มในและต่างประเทศเชิงรุกมากขึ้น ในสัดส่วนเท่ากัน ราว 7-8 แห่ง โดยการลงทุนล่าสุด ในบริษัทวัสดุก่อสร้างในอินโดนิเซีย คาดว่าจะรับรู้เข้ามาเป็นเงินปันผล ประการที่สอง การได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดคลายตัว และประการสุดท้าย GPM ยังประคองตัวในระดับ 24.5% อ่อนตัวจากปีก่อนเล็กน้อย จากการที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปีก่อน แต่ก็สามารถชดเชยได้บางส่วน จากการปรับ product mix เน้นสินค้าที่กำไรสูง และเพิ่มสัดส่วนสินค้า House Brand มากขึ้น
ที่สำคัญ ราคาหุ้นล่าสุด Underperform ตลาด 4% และ 2% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ Valuation มีความน่าสนใจ โดยล่าสุด ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี จึงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าพื้นฐานที่ 28.00 บาท อิง PER ปีนี้ ที่ 37.0 เท่า (+1.5 SD above historical avg.) เพราะยังเชื่อมั่นว่าจะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
สำหรับ Key catalyst ซึ่งอาจเป็น upside ต่อประมาณการ คือ ราคาเหล็กที่ปรับขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสแรก และการลงทุนต่างประเทศที่มีโอกาสขยายได้อีกมากในอนาคต
ปัจจุบัน GLOBAL มีสาขาในกัมพูชา 1 แห่ง ลาว 7 แห่ง เมียนมาร์ 8 แห่ง และอินโดนีเซีย ผ่านบริษัทร่วมทุน ที่ถือหุ้นร่วมกับกลุ่มเอสซีจี (SCC) 9 แห่ง โดยมีความเป็นไปได้ว่า จะมีการเปิดสาขาในฟิลิปปินส์เพิ่มในปีหน้าอีก
ซึ่งมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากเมย์แบงก์ (MST) ว่า ส่วนแบ่งกำไรจากลาวและเมียนมา ในปีที่ผ่านมา มีการเติบโตก้าวกระโดด 246% เป็น 81 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.5% ของกำไรรวม และน่าจะมีผลให้ GLOBAL สามารถเพิ่มยอดขายปีนี้ได้ 15% ตามเป้าหมายที่ผู้บริหารหวังไว้ได้
ขณะที่คันทรี่กรุ๊ป ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็น ไพ (PI) และกสิกรไทย (KS) ประเมินกำไรปีนี้ว่าจะโตเล็กน้อยเป็น 3.4 พันล้านบาท เนื่องจากกำไรครึ่งปีแรกมีโอกาสอ่อนตัวลงเล็กน้อย จาก GPM ที่ลดลง และต้นทุนที่สูงขึ้นตามการเปิดสาขาใหม่ แต่เชื่อว่า กำไรครึ่งปีหลังจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น โดย PI ให้ราคาเหมาะสม (รวมหุ้นปันผล) ที่ 25 บาท อิง PE ปีนี้ที่ 35 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน ส่วน KS ให้ราคาเหมาะสม (รวมหุ้นปันผล) ที่ 24 บาท อิง PE ปีนี้ที่ 31 เท่า