GULF ปิดงบการเงินปี 2564 ด้วยกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มั่นใจ เห็นสถิติใหม่ในปี 2565 แน่

586 จำนวนผู้เข้าชม  | 

GULF ปิดงบการเงินปี 2564 ด้วยกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มั่นใจ เห็นสถิติใหม่ในปี 2565 แน่

หลังจาก บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา สรุปได้ว่า มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) 2,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,488 ล้านบาท หรือ 120% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 (รวม 1,325 เมกะวัตต์ (MW) ในเดือนมีนาคม และตุลาคม แต่หากคิดรวมการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH จะทำให้กำไรสุทธิ (Net Profit) ในไตรมาส 4 อยู่ที่ 3,043 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% YoY

สำหรับรอบบัญชีทั้งปี 2564 GULF มีรายได้รวม (Total Revenue) 52,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรปกติ (Core Profit) อยู่ที่ 8,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% YoY หนุนจากเงินปันผลรับจาก INTUCH จำนวน 2,349 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH อีก 1,093 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้เปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีสำหรับเงินลงทุนใน INTUCH มาเป็นวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นมา


นอกจากนี้ Core Profit ยังเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าใหม่ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 กับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ระยะแรก ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 MW ที่โอมาน ซึ่งเพิ่งเปิดดำเนินการในเดือนธันวาคม อีกทั้งยังรับรู้ผลดำเนินงานเต็มปีของโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 465 MW ที่เยอรมนี ตลอดจนรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก PTT NGD เต็มปี  

สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 12 โรง ภายใต้กลุ่ม GMP มียอดขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และลูกค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมี Load Factor เฉลี่ยของลูกค้าอุตสาหกรรมอยู่ที่ 60% เมื่อเทียบกับ 56% ในปีก่อน ถึงแม้จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าจำนวน 4 โรงตามแผนก็ตาม

ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 7 โรง ภายใต้กลุ่ม GJP มียอดขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย Load Factor เฉลี่ยอยู่ที่ 64% เทียบกับ 60% ในปีก่อน 

อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ทั้งปี กลับลดลงเล็กน้อย YoY เป็น 27.3% ตามต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น 9% (จาก 244.51 บาท /ล้านบีทียู เพิ่มเป็น 266.02 บาท /ล้านบีทียู) สวนทางค่า Ft เฉลี่ย ที่ลดลงจากปีก่อน 29% (จาก -0.1188 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก GULF มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ถึง 86% ทว่า การที่ต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะถูกส่งผ่าน (pass through) ในรูปของรายได้ค่าไฟฟ้า ไปยัง กฟผ. ประกอบกับสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมมีแค่ 14% จึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัด หนุนให้กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม หรือ EBITDA Margin เพิ่มขึ้นจาก 37.6% ในปี 2563 เป็น 41.9% 

ด้านอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.77 เท่า สูงขึ้นจาก 1.47 เท่า ณ สิ้นปีก่อนหน้า เพราะบริษัทฯ มีการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเ พื่อก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า GSRC และ GPD ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 5,300 MW ประกอบกับมีการออกหุ้นกู้ 30,000 ล้านบาท เพื่อนำมาชำระคืนเงินกู้บางส่วนจากสถาบันการเงินที่กู้มาเพื่อชำระค่าหุ้นของ INTUCH

ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินข้างต้น ยังต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่ 3.50 เท่า ทำให้ GULF ยังมีศักยภาพในการขยายการลงทุนในอนาคตได้มากกว่า 100,000 ล้านบาท

โอกาสนี้ บริษัทฯ พร้อมจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมา ในอัตราหุ้นละ 0.44 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 88% กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 4 มีนาคมที่จะถึงนี้ ก่อนจ่ายจริงวันที่ 28 เมษายนตามมา


ขณะเดียวกัน นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจปีนี้ด้วยว่า คาดว่ารายได้รวมทั้งปีจะเติบโตประมาณ 60% จากปีที่ผ่านมา หนุนโดยการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนาม (Mekong Wind) ที่พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ครบ 128 MW ภายในไตรมาส 2 หรือโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 MW จะเริ่มเปิดจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคม และตุลาคม ตามลำดับ ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ของกลุ่ม GULF1 คาดว่าจะทยอยเปิดดำเนินการได้ครบ 100 MW ภายในปีนี้ ทำให้ปีนี้ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มจาก 7,875 MW ในปีก่อน เป็น 9,422 MW


นอกจากนี้ GULF จะเริ่มรับรู้กำไรเต็มปีจากโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 รวมถึงโรงไฟฟ้า DIPWP ระยะที่ 1 ที่โอมาน ตลอดจนรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน INTUCH เต็มปีด้วย

และเพื่อมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization) บริษัทฯ มีแผนขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโรงไฟฟ้าพลังงานลม

พร้อมกันนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่นำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ (Digital Transformation) เช่น ธุรกิจ Data Center รวมถึง Cloud Computing ธุรกิจเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวตามมาด้วย

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้