408 จำนวนผู้เข้าชม |
จากการลงทุนและใช้ชีวิตมายาวนาน ผมลองคิดดูว่าอะไรคือการลงทุนที่ "ดีที่สุด" และอะไรคือการลงทุนที่ "แย่ที่สุด" ของผม นี่ไม่ใช่ผลตอบแทนทางด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงผลตอบแทนทางด้านอื่น เช่นผลตอบแทนทางด้านจิตใจ อารมณ์ ความรู้และความสามารถที่จะเป็นฐานให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในอนาคตด้วย นอกจากนั้น เวลาผมพิจารณาหรือประเมิน ผมก็จะต้องดูด้วยว่า ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นมันจะอยู่ต่อเนื่องยาวนานมากน้อยแค่ไหน เหตุผลก็เพราะว่า การลงทุนในหลายๆ เรื่องนั้น ไม่ได้มี "ตลาด" ที่เราจะสามารถ ซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนได้ เราไม่สามารถรับผลตอบแทนทั้งหมดทันที ผลตอบแทนที่เราจะได้ก็คือ "ปันผล" ทั้งที่เป็นเม็ดเงิน หรือการใช้สอย หรือเรื่องของความสุขที่จะได้รับต่อเนื่องยาวนานไปในอนาคต
การลงทุนที่คิดว่า "ดีที่สุด" ของผมนั้น ชัดเจนว่าคือการลงทุนในการศึกษาจาก "โรงเรียน" และการหาความรู้โดยเฉพาะจากการอ่านหนังสือตลอดชีวิต เพราะถ้าปราศจากสิ่งนี้ ชีวิตผมคงไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ได้เลย ผมเคยลองคิดดูว่า ถ้าผมเรียนจบแค่ปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรม และทำงานไปเรื่อยๆ ในโรงงานขนาดใหญ่ โอกาสที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ 1) ผมอาจจะเริ่มมีครอบครัว มีลูก ซึ่งก็จะทำให้ "ยุ่ง" เกินไปที่จะคิดทำอย่างอื่น และก็คงรู้สึก "เสี่ยง" เกินไปที่จะหันไปทำธุรกิจ "ขนาดเล็ก" ที่ตนเองพอจะมีศักยภาพที่จะทำได้ ดังนั้น ผลก็คือ ผมก็คงทำงานเป็นผู้บริหารโรงงาน จนถึงวันเกษียณ ชีวิตก็น่าจะอยู่ดีพอสมควรตามอัตภาพ
หรือ 2) ผมอาจจะพบว่าสามารถเริ่ม "ทำธุรกิจ" ควบคู่ไปกับการทำงานประจำในตอนแรกเพื่อสะสมเงินและประสบการณ์ และถ้าธุรกิจเริ่มไปได้ดี ก็อาจจะออกมาทำธุรกิจเต็มตัว อย่างที่เพื่อนนักเรียนเก่าหลายคนทำ และก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ว่าที่จริงในช่วงที่ยังทำงานโรงงานผมก็เริ่ม "รับเหมางาน" ทำบ้างเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าผมทำต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่จะมีธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้นก็คงจะยาก เพราะไม่ได้ทุ่มเทเต็มที่ และในกรณีนั้น ผมก็คิดว่ามันก็ไม่ได้ดีไปกว่าการเป็นผู้บริหารด้านการผลิตในโรงงานขนาดใหญ่มากนัก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ชีวิตคงจะ "เหนื่อย" พอสมควรทีเดียว
แต่การที่ผมศึกษาต่อจนถึงปริญญาเอกในสายบริหารธุรกิจนั้น ได้ "ขยายโลก" ให้กว้างขึ้นมาก มันเหมือนกับการลงทุนในการซื้อหรือถือ "กุญแจ" ที่จะสามารถเปิดเข้าไปสู่โลกใหม่ที่มีโอกาสมากกว่าเดิมมาก การได้เรียนและรู้จัก "ธุรกิจ" อย่างกว้างขวางในทุกมิติตั้งแต่การจัดตั้งและบริหารธุรกิจ การระดมทุน และการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการรู้ว่าคุณค่า หรือมูลค่าของกิจการควรเป็นเท่าไรนั้น ทำให้ผมสามารถ "ลงทุน" ในตราสารทางการเงิน เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ "หุ้น" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนั่นก็นำไปสู่การลงทุนที่ "ดีที่สุด" ในแง่ของผลตอบแทนทางการเงิน
นั่นก็คือ การลงทุนในหุ้นกลุ่ม "ค้าปลีกสมัยใหม่" หลายๆ ตัว เมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา ในวันนั้นผมเริ่มตระหนักว่า ประเทศไทยได้พัฒนามาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่มีรายได้และความมั่งคั่งเพียงพอที่จะบริโภคอาหาร และสิ่งของเครื่องใช้ที่มีคุณภาพสูง และมีความสะดวกที่จะซื้อ ซึ่งเสนอโดยบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม "Modern Trade" แทนที่จะซื้อจากร้านค้าแบบดั้งเดิมที่บริหารโดยครอบครัว หุ้นในกลุ่มนี้ครอบคลุมแทบจะทุกสินค้า ตั้งแต่การขายหนังสือไปจนถึงอุปกรณ์ตกแต่งซ่อมแซมบ้าน ไปจนถึงอาหารและสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และสินค้าที่ "สะดวกซื้อ" ในแทบทุกแห่งของประเทศ และที่สำคัญในช่วงเวลานั้น ผมเริ่มที่จะเห็น "ผู้ชนะ" ที่มีหุ้นซื้อ-ขายในราคาที่ "ไม่แพง" อานิสงค์จากการที่กำไรของบริษัทก็ยังไม่ดีนัก เนื่องจากเป็นช่วงต้นของวงจรธุรกิจที่ยังต้องลงทุนสูง และการที่นักลงทุนเองก็ยัง "ไม่รู้จัก" รูปแบบทางธุรกิจหรือ "Business Model" ของกิจการเหล่านั้น
การลงทุนในหุ้นค้าปลีก ที่ในเวลาต่อมาผมเรียกว่าเป็นหุ้น "ซุปเปอร์สต็อก" จำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าเกิน 70% ของพอร์ต และถือไว้ยาวนานเป็น 10 ปีขึ้นไป และบางตัวจนถึงวันนี้ ได้ "เปลี่ยนชีวิต" ผมไปอย่างสิ้นเชิง เพราะผลตอบแทนที่ได้นั้นสูง ยาวนาน และมั่นคงมาก จริงอยู่ หุ้นอีกหลายๆ ตัวที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มค้าปลีกในพอร์ตของผม ก็ให้ผลตอบแทนไม่แพ้กันมากนัก แต่หุ้นเหล่านั้นผมก็มักจะซื้อ และก็ต้องขายไปในเวลาไม่นานนัก เช่นเดียวกับที่ไม่กล้าถือจำนวนมาก เหตุผลก็คือ มันมักจะให้ผลตอบแทนสูงเฉพาะในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ 2-3 ปี ในช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังดี หรือบริษัทกำลัง "ขาขึ้น" ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดังนั้น เราก็ต้อง "เปลี่ยนตัว" เล่นเป็นระยะๆ ไม่เหมือนกับหุ้นกลุ่มโมเดิร์นเทรดที่สามารถซื้อแล้วถือไว้จนกว่าจะหมด "เมกาเทรนด์" หรือธุรกิจ "อิ่มตัว" ยอดขายไม่โตแล้ว
การลงทุนที่ "ดีที่สุด" ตัวที่สามก็คือ การลงทุนสร้าง "บ้าน" ที่มี Facility หรือสิ่งอำนวยประโยชน์พร้อม เช่น มีที่ออกกำลังกาย มีห้องบันเทิง และมีสวนอยู่ในบริเวณบ้าน เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งก็อาจจะมาจากการที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งทำให้ต้องอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลานาน จนถึงวันนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้ว บ้านกลายเป็นสถานที่ที่ผมใช้ทำสิ่งต่างๆ ที่จำเป็น และเพื่อความรื่นรมย์ในชีวิต ซึ่งในอดีตนั้นผมแทบจะทำไม่ได้ เนื่องจากบ้านมีขนาดเล็กมากและแทบจะใช้เพื่อการนอน การกินอาหาร และการทำงานเท่านั้น การมีบ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและให้ความรื่นรมย์เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยมี แต่เมื่อมีแล้ว ผมก็รู้สึกว่าผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มมาก และถึงแม้ว่าโควิดอาจจะหมดไปในไม่ช้า ผมก็คิดว่าบ้านหลังนี้ก็จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศอยู่ แม้ว่าการลงทุนจะค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับทรัพย์สินอื่นแล้วต้องถือว่าน้อยมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นี่ไม่ใช่ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินที่เราหาไม่ได้ง่ายนักจากการลงทุนแบบอื่น
ส่วนการลงทุนที่ "แย่ที่สุด" สำหรับผม น่าจะเป็นการลงทุนซื้อ "ที่ดิน" ในโครงการจัดสรรย่านบางบัวทอง ช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 ที่เป็นช่วง "ยุคทอง" ของการซื้อขายบ้านจัดสรร ที่จริงผมเองไม่ได้ต้องการไปอยู่จริง แต่เป็นการซื้อทิ้งไว้เพื่อเอาไว้สร้าง "บ้านริมคลอง" ในอนาคต ตอนที่ตัดสินใจซื้อนั้น ผมมาคิดดูคงเป็นเรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดูละครเรื่อง "สองฝั่งคลอง" ที่กำลังดังในช่วงนั้น ดูแล้วคงจะ "อิน" กับการได้อยู่ในบรรยากาศ "โรแมนติค" ของคนที่อยู่บ้านริมน้ำแบบไทยๆ สมัยก่อน ดังนั้น พอมีโครงการจัดสรรที่ดินริมคลองบางบัวทอง และผมได้ไปชมโครงการยามที่คลองปริ่มไปด้วยน้ำฤดูฝน ผมจึงซื้อทันที แต่พอถึงวันที่จะโอน กรุงเทพฯ ก็เจอน้ำท่วมใหญ่ ที่ดินริมคลองบางบัวทองจมมิดหายไปทั้งหมด น้ำสูงเหนือพื้นดินหลายเมตร หลังจากนั้น แม้ว่าน้ำคงจะไม่ท่วมระดับนั้นอีกแล้ว ราคาที่ดินก็มีแต่ตกต่ำลง ไม่มีใครไปสร้างบ้าน ที่ดินรกร้างเต็มไปด้วยหญ้า ถ้าขายตอนนี้ก็คงไม่มีใครซื้อแม้ว่าจะขายครึ่งหรือ 1 ใน 3 ของราคาเดิม หลังจากเวลาผ่านมาประมาณ 25 ปีแล้ว เป็น "หายนะ" ของการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าตอนนั้นผมยังมีเงินน้อยมาก การลงทุนครั้งนั้นสอนให้รู้ว่า "อย่าใช้อารมณ์ในการลงทุนเด็ดขาด"
ทั้งหมดนั้นคือ ประสบการณ์ที่ผ่านมาของการลงทุนส่วนตัวของผม อนาคตเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ เช่น ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า การลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามของผมก็อาจจะมาลบล้างสิ่งที่ผ่านมาในประเทศไทยก็ได้ อาจมีการลงทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นจนอาจจะเปลี่ยนโฉมของเดิมได้ สำหรับคนอื่นแต่ละคนนั้น ผมคิดว่าเขาควรจะคิด หรือประเมินดูเช่นกันว่า อะไรคือการลงทุนที่ดี หรือแย่ที่สุด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อช่วยการตัดสินใจต่อไปในอนาคต
สำหรับคนที่ยังมีประสบการณ์น้อยนั้น ที่ควรจะคำนึงถึงก็คือ เราอยากจะพบเจอสิ่งที่ดีที่สุด และหลีกเลี่ยงการลงทุนที่แย่ที่สุด วิธีที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นได้ก็คือ การคิดและลงทุนในแบบ "VI ผู้มุ่งมั่น" ที่คำนึงถึงเหตุผลที่มั่นคง และหลีกเลี่ยงการลงทุนด้วยอารมณ์ โดยเฉพาะในยามที่สังคมและสิ่งแวดล้อมชวนให้เราคล้อยตามมากที่สุด
หนุ่มสาวนักลงทุนหลายคนในวันนี้อาจจะหวังว่า อนาคตในอีก 10 หรือหลายสิบปีข้างหน้าจะบอกว่า การเลือกลงทุนในหุ้นดิจิทัล หรือไฮเท็ค ได้เปลี่ยนชีวิตของตนเองในทางที่มหัศจรรย์ อีกหลายคนมากอาจจะเป็นเรื่องของการซื้อ-ขายคริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งไม่มีใครรู้ เช่นเดียวกับที่ไม่รู้ว่าอะไรที่จะล้มเหลวกลายเป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดในชีวิต ซึ่งในความคิดผมนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด บางทีอาจจะสำคัญยิ่งกว่าความสำเร็จในการลงทุนด้วยซ้ำ เพราะการไม่ได้ "แจ็คพ็อต" ในการลงทุนนั้น บ่อยครั้งก็ยังรวยได้อยู่ดีถ้าเลี่ยง "หายนะ" ได้ ตรงกันข้าม ถ้าพบกับการลงทุนที่เป็นหายนะ และมันมีขนาดใหญ่เกินไป ทุกอย่างก็อาจจะจบได้ ไม่มีโอกาสได้พบกับการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิต