413 จำนวนผู้เข้าชม |
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บมจ. เฮลท์ลีด (HL) เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่่วไป (IPO) จำนวน 72 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 9.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 37.57 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 25-26 และ 29 พฤศจิกายน 2564 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในวันที่ 3 ธันวาคม 2564 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "HL" ในหมวดธุรกิจบริการ
"การกำหนดราคาไอพีโอที่หุ้นละ 9.80 บาท จากราคาพาร์ที่ 50 สตางค์ ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของ HL ซึ่งเป็นร้านขายยาค้าปลีกในรูปแบบ Chain Drug Store รายแรกในตลาดหุ้นไทย มีจุดแข็งเรื่องความสามารถทำกำไรที่โดดเด่น วัดจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงระดับ 22% ขณะที่ยอดขายเติบโตทุกปี อีกทั้งมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพราะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนระดับ 1.6 เท่า ส่วนมากเป็นหนี้ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ย ดังนั้น การเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนจะทำให้มีแหล่งเงินทุนช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง เพิ่มแรงขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว จึงมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งที่เป็นประเภทสถาบัน และประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างดี" นายสมภพ กล่าว
อนึ่ง การเปิดเขายหุ้นจอง HL ครั้งนี้ จะมีผู้ร่วมจัดจำหน่ ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก, บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้, บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส, บมจ.หลักทรัพย์ บียอนด์, บมจ.หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน และ บมจ.หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย)
สำหรับภาพรวมผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ของ HL มีกำไรสุทธิ 25.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.82% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.13 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 355.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.08% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวม 255.95 ล้านบาท
ส่วนงวด 9 เดือนปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 57.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.85% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 38.65 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 912.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น14.57% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวม 796.67 ล้านบาท
ขณะที่เภสัชกร ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เฮลท์ลีด (HL) อธิบายเพิ่มว่า การเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของ HL ได้มาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าจะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่งในพื้นที่ กทม.เป็นหลัก จากนั้นจะเริ่มกระจายให้ครอบคลุมทั่วเขตปริมณฑลตามหัวเมืองที่สำคัญ ส่วนใหญ่ขนาดพื้นที่ต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 80-150 ตารางเมตร และเมื่อมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 26 สาขา ก็จะมีอำนาจต่อรองกับ Supplier มากขึ้น ผลักดันยอดขายให้เติบโต ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น
ทั้งนี้ บมจ.เฮลท์ลีด (HL) ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) ปัจจุบันมีการลงทุนในบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด (Icare Health Company) กับ บริษัท เฮลทิเนส จำกัด (Healthiness Company Limited) โดยไอแคร์ เฮลท์ มีธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ กว่า 10,000 รายการ จำหน่ายผ่านร้านขายยาทั้งหมด 4 แบรนด์ ได้แก่ iCare 10 สาขา, PharmaX 11 สาขา, vitaminclub 3 สาขา และ Super Drug 1 สาขา ขณะที่บริษัท เฮลทิเนส ทำธุรกิจหลัก คือ คิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิต เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้ 2 แบรนด์ คือ PRIME เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 24 SKU และ Besuto เป็นแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์สลายกลิ่น และผลิตภัณฑ์หน้ากาก รวมทั้งหมด 9 SKU ส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านร้าค้าปลีกของกลุ่มบริษัท