377 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจากธนาคารกลางหลักหลายแห่งทยอยประกาศลดการเข้าซื้อพันธบัตร (QE tapering) ทำให้ตลาดการเงินโลกให้ความสนใจเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มากขึ้น แต่เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดแรงานในสหรัฐฯ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อสูงมีแนวโน้มยืดเยื้อถึงกลางปีหน้า ในที่สุด Fed ประกาศเริ่มทำ QE taper ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า ทำให้ SCB CIO คาดว่า จะเริ่มเห็น FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปีหน้า ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) น่าจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยในปี 2566
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินถึงปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประกอบการวิเคราะห์ ทาง SCB CIO คาดหมายว่าอาจมีน้อยกว่าคาด เพราะขนาดของโครงการด้าน Infrastructure ที่ประธานาธิบดี Joe Biden มีแนวโน้มว่าจะมีไม่มากเท่าที่เคยประกาศไว้ ดังนั้น ถึงสิ้นปีนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี น่าจะประคองตัวในกรอบ 1.6-1.8% หากการเจรจาต่อรองเพดานหนี้สาธารณะช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ ออกมาในลักษณะ last minute deal
ดังนั้น เมื่อการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ SCB CIO ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป จึงแนะนำให้ลงทุนหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) โดยเฉพาะในกลุ่ม Quality growth แต่ควรมีหุ้นในกลุ่ม Value ติดพอร์ตไว้ เพื่อป้องกันความผันผวนในช่วงที่ bond yields เป็นขาขึ้น เนื่องจากความกังวลประเด็นอัตราเงินเฟ้อสูงจะยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น ซึ่งมีการฟื้นตัวต่อเนื่องหลังเปิดเมือง และผลการเลือกตั้งเป็นไปตามที่คาด สามารถเก็งกำไร (Trading Buy) ได้ โดยเน้นไปที่หุ้นได้รับผลบวก เช่น กลุ่ม Digitalization จากโครงการ Digital garden city ในภูมิภาคต่างๆ และกลุ่ม Infrastructure ที่ได้แรงหนุนจากแผนลงทุน 15 ล้านล้านเยนใน 5 ปีข้างหน้า
ส่วนตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) SCB CIO ยกให้ตลาดหุ้นเวียดนามเป็น Top pick ถึงแม้ราคาหุ้น (Valuation) จะเริ่มขยับขึ้นมา แต่ในระยะข้างหน้า เชื่อว่าเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดจะเบียนจะยังมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของภาคส่งออกตามเศรษฐกิจโลก ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ที่เอื้อให้การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่องได้
ขณะเดียวกัน SCB CIO ได้ปรับมุมมองตลาดหุ้นจีน กระดาน H-share ขึ้นเป็น neutral โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Tech เพราะความเสี่ยงด้านกฏเกณฑ์ภาครัฐ (Regulatory risks) น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทำให้ราคาหุ้นน่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังถูกกดดันจากความพยายามของภาครัฐที่จะชะลอการเติบโตด้วยการ leverage ในอุตสาหกรรมนี้ สำหรับกระดาน A-share ยังคงมุมมอง Neutral จากนโยบายมุ่งเน้นเติบโตจากภายในประเทศของทางการจีน เช่น นโยบาย dual circulation และ common prosperity
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ที่ยังคงน้ำหนัก neutral ต่อไป หลังจากได้มีการ priced-in การฟื้นตัวของกำไรในไตรมาส 3 และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่น่าจะช้ากว่าคาดไปแล้ว แต่เชื่อว่า การเปิดเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยทำให้อุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ในระยะข้างหน้า
ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ปรับเพิ่มน้ำหนักขึ้นเป็น slightly positive เพราะ DM REITs มีอัตราการเช่าและค่าเช่า รวมถึงผลประกอบการที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และ Asian REITs จะได้อานิสงค์จากการเปิดเมืองที่เริ่มต่อเนื่องมากขึ้น
ในทางกลับกัน ทองคำ คงมุมมองเป็น slightly negative จากผลกระทบของ QE tapering คล้ายกับน้ำมัน ที่คงน้ำหนัก neutral เพราะคาดว่า มี upside ไม่มากนัก จากปัจจัยอุปทานตึงตัวที่ได้ถูก priced-in ไปแล้ว