GBS มองทองคำปี 2568 น่าจะแกว่งแคบๆ ส่วนหุ้นไทยไตรมาสแรกไม่เกิน 1,400 จุด แนะสะสม Domestic Plays อย่าง CK BCH

4782 จำนวนผู้เข้าชม  | 

GBS มองทองคำปี 2568 น่าจะแกว่งแคบๆ ส่วนหุ้นไทยไตรมาสแรกไม่เกิน 1,400 จุด แนะสะสม Domestic Plays อย่าง CK BCH


ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก (GBS) ประเมินภาพตลาดหุ้นไทยครึ่งแรกปี 2568 ว่า น่าจะแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 1,330-1,400 จุด สาเหตุจากตลาดได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจชะลอลดดอกเบี้ยนโยบาย สถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และตะวันออกกลาง รวมถึงท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนวนโยบายกีดกันการค้า อีกทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศที่ยังสูง กดดันให้เงินทุนมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นได้อย่างจำกัด

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลเตรียมประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่าง Easy e-receipt การแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทให้ผู้สูงอายุ รวมถึงจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่รอบใหม่ และการเข้าสู่เทศกาลประกาศผลดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน น่าจะช่วยให้มีแรงซื้อในลักษณะเก็งกำไรกระจายตัวเข้ามาในหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เพื่อรอกระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย รวมถึงไทย ซึ่งมูลค่าหุ้นถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ขานรับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะเกิดหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย และการได้อานิสงค์จากการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าจีนในอัตราที่สูง หนุนให้การใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกขยายตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) สูงขึ้น เพราะการส่งออกมีน้ำหนักต่อ GDP สูง หนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ถึง 1,530 จุด คิดเป็น P/E ที่ระดับ 15 เท่า

การขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ ช่วยกระตุ้นบรรยากาศตลาดหุ้นช่วงไตรมาสแรก และอาจต่อเนื่องถึงไตรมาสสอง ทำให้นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ GBS แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มที่พึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Plays) เป็นหลัก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และโรงพยาบาล ซึ่งมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดจะมีการเปิดประมูลงานเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง 3 สาย รถไฟรางคู่ 6 เส้นทาง มอเตอร์เวย์ 2 สาย ทางด่วน Double Deck หรือการขยายพื้นที่สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และเชียงใหม่ มูลค่ารวมกว่า 4.9 แสนล้านบาท ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาล จะได้ประโยชน์จากแผนยกระดับธุรกิจให้เป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ (Wellness and Medical Hub) สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) รองรับการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเมื่อคัดเลือกหุ้นเด่นจากทั้ง 2 กลุ่มนี้ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์เลือก CK (ราคาเหมาะสมอิง Bloomberg Consensus อยู่ที่ 26.50 บาท) กับ BCH (ราคาเหมาะสมอิง Bloomberg Consensus อยู่ที่ 21 บาท)  

สำหรับหุ้นขนาดเล็ก แนะนำ ATP 30 ที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ และการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่่ EEC ผลักดันให้รายได้และกำไรเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง (ราคาเหมาะสมที่ 1.25 บาท) รวมถึงหุ้น D ซึ่งได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตเพิ่มขึ้น (ราคาเหมาะสมที่ 5.06 บาท) ตลอดจนหุ้น AU กับ TNP ที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการ Easy e-receipt ค่อนข้างมาก คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 13.50 บาท และ 5 บาท ตามลำดับ

ขณะที่นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย GBS ฉายภาพการลงทุนทองคำด้วยว่า มีโอกาสพักฐานในระยะสั้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากที่ตลาดคาดไว้ 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง ประกอบกับผู้นำสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนการทำสงคราม ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหดหายไป ส่งผลให้กรอบราคาทองคำ Gold Spot ทั้งปี 2568 น่าจะแกว่งในกรอบแคบๆ ระหว่าง 2,420-2,740 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ คิดเป็นผลตอบแทนระหว่าง ติดลบ 7% ถึงบวก 5% เทียบเป็นราคาทองคำไทยที่ระดับ 39,500 - 44,500 บาท

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้