IVF ต่ำจองตามคาด ราคาจองสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน

การเข้าซื้อขายวันแรกของ บมจ. อินสไปร์ ไอวีเอฟ (IVF) ผู้ให้บริการด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก ครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางแผนการรักษา และการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ของคู่สมรส ทำให้นักลงทุนที่ได้หุ้นจองบาดเจ็บกันถ้วนหน้า เมื่อราคาหุ้นต่ำจองทั้งวัน โดยหลังจากเปิดตลาดที่ 2.70 บาท และมีแรงซื้อดันราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 2.80 บาท ต่ำกว่าราคาจองที่ 3.10 บาท อยู่ 30 สตางค์ คิดเป็นผลขาดทุน 9.68% เพียงไม่กี่นาที จากนั้น เริ่มมีแรงขายกดราคาให้ปรับฐานอย่างต่อเนื่อง กระทั่งทำจุดต่ำสุดของวันที่ 2 บาท ก่อนมีแรงซื้อทำราคาปิดขึ้นมาที่ 2.02 บาท คิดเป็นผลขาดทุน 34.84% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 534 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอธิบายจากนักกลยุทธ์ และนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายรายว่า เกิดจากการตั้งราคา IPO สูงเกินเหตุ โดยตั้งไว้ที่ P/E เกือบ 45 เท่า เทียบกับ P/E เฉลี่ยหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่แกว่งในระดับ 23 - 24 เท่า ประกอบกับการเติบโตของผลดำเนินงานปีนี้จะไม่โดดเด่นเหมือนที่เติบโตก้าวกระโดดช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้ จากแนวโน้มรายได้ที่ทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน แต่กลับมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เกิดจากการเตรียมตัวเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) สูงขึ้น ฉุดกำไรให้ลดลงจากปีก่อน

นอกจากนี้ การที่ภาวะตลาดหุ้นช่วงโค้งสุดท้ายของปียังผันผวนต่อเนื่อง ทำให้การซื้อขายหลังจากนั้น แม้จะมีแรงเก็งกำไรเกิดขึ้นในบางวัน แต่ราคาหุ้น IVF กลับทรุดตัวต่อเนื่อง จนแตะจุดต่ำสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่ 1.43 บาท ถึงเริ่มเห็นแรงซื้อดันราคาขึ้นมาแกว่งเหนือ 1.60 บาท ในวันทำการสุดท้ายของปี 2567 ต่อเนื่องถึงปีใหม่

อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบจากบทวิเคราะห์ของผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น 3-4 สำนัก เช่น ดาโอ (DAOL) ลิเบอเรเตอร์ (LIB) คิงสฟอร์ด (KFS) และกรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) จะพบว่า ทุกค่ายเชื่อมั่นว่า ผลดำเนินงานของ IVF มีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2568-69 จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และความสำเร็จในการขยายการให้บริการไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง และการขยายสาขาในไทยอีก 2 สาขา ตามแผนระดมทุน ด้วยการใช้เงินลงทุนราว 190 ล่านบาท ขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ อีก 114 ล้านบาท ใช้ลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างการให้บริการดูแลสุขภาพ (Wellness) และที่เหลือ 84 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และขยายฐานรายได้จากลูกค้าต่างประเทศซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงกว่าลูกค้าคนไทยให้เติบโตแข็งแกร่งขึ้น