4930 จำนวนผู้เข้าชม |
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory บมจ. ธนาคารทิสโก้ (TISCO Advisory) เปิดเผยว่า การที่เศรษฐกิจโลกช่วงครึ่งหลังปี 2567 ส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน และเริ่มเห็นดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวเป็นขาลง ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างกำไรในระดับ 15-25% ธนาคารจึงแนะนำให้ลูกค้าเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน 3 ธีม คือ ธีมตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) เน้นไปที่ตลาดจีน เวียดนาม อินเดีย และไทย กับธีมกลุ่มหุ้นเติบโต (Growth Stock) เน้นไปที่กลุ่มธุรกิจ AI และกลุ่มพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสสร้างกำไรเติบโตก้าวกระโดดในระยะยาว พร้อมกับบริหารความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่ ทั้งปัจจัยการเมือง ปัจจัยเศรษฐกิจ และการเคลื่อนย้ายเงินทุน ควบคู่ไปกับการหาผลตอบแทนจากดอกเบี้ยขาลงในระดับ 6-8% ด้วยธีมตราสารหนี้โลก (Global Bonds) ซึ่งจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่เพิ่งเริ่มเป็นขาลง และในปีหน้าเป็นทิศทางขาลงชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงจะเพิ่มโอกาสให้ราคาตราสารเพิ่มขึ้น
โดยธีมลงทุนตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Market มีโอกาสสร้างกำไรประมาณ 20-25% สูงกว่าตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) ที่มีโอกาสสร้างกำไรประมาณ 10% เพราะเศรษฐกิจกลุ่มประเทศเกิดใหม่ คาดมีโอกาสขยายตัว 4.2% สูงกว่าเศรษฐกิจกลุ่ม Developed Market ที่น่าจะขยายตัวแค่ 1.7% ส่งผลให้ตลาด (Bloomberg Consensus) ประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ช่วง 12 เดือนข้างหน้า เติบโตสูง 19.4% เทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ที่คาดเติบโตเพียง 5.9% อีกทั้งมูลค่าหุ้นยังอยู่มีความน่าสนใจ โดยมี Forward P/E ช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่ 12.2 เท่า ต่ำกว่าตลาดหุ้นกลุ่ม Developed Market ซึ่งอยู่ในระดับ 18.3 เท่า
ซึ่งเมื่อให้คัดเลือกตลาดหุ้นที่น่าสนใจ TISCO Advisory ให้น้ำหนักกับตลาด 4 ประเทศ คือ อินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจโตเร็วที่สุดในโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าขนาดเศรษฐกิจอินเดียจะใหญ่แซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก ในปีหน้า ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน 7.8% และกำไรบริษัทจดทะเบียนช่วง 12 เดือนข้างหน้า เติบโต 9.7%
ส่วนตลาดหุ้นจีน การที่รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ปรับลดอัตราส่วนสำรองของธนาคาร (RRR) และออกวงเงินกู้ยืมให้บริษัทของภาครัฐนำเงินไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ และน่าจะมีมาตรการกระตุ้นด้านอื่นๆ เพิ่มเติมในระยะต่อไป ทำให้ Bloomberg Consensus คาดการณ์เศรษฐกิจจีนปีนี้จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.9% อีกทั้งมูลค่าตลาดหุ้นอยู่ในระดับน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ระดับ Forward P/E ที่ 11.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ 12.3 เท่า และคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนช่วง 12 เดือนข้างหน้า เติบโต 20.7%
สำหรับตลาดหุ้นเวียดนาม เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง สนับสนุนจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การส่งออก และการท่องเที่ยว ผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตโดดเด่นที่สุดในอาเซียน โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว 5.85% ส่วนมูลค่าตลาดหุ้นยังถูก โดยซื้อขายที่ระดับ Forward P/E ที่ 10.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 12.7 เท่า และคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนช่วง 12 เดือนข้างหน้า เติบโตถึง 32.6% ขณะที่ตลาดหุ้นมีแนวโน้มจะถูกยกระดับขึ้นเป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เปิดโอกาสให้ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปซื้อขายในระดับที่สูงขึ้นได้อีก
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังจากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยว โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าเศรษฐกิจปี 2567 จะเติบโต 2.80% ขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นถูก โดยมีระดับ Forward P/E ที่ 13.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ 15.5 เท่า ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนช่วง 12 เดือนข้างหน้าอาจเติบโต 8.6%
ด้านธีมหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks) มีโอกาสสร้างกำไรประมาณ 15- 25% จากการลงทุนเกาะเมกะเทรนด์ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเกี่ยวข้องกับธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เกือบทุกธุรกิจทั่วโลกต้องการใช้งานเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรครั้งใหม่ (New S-Curve) รวมถึงกลุ่มบูรณาการที่จะสนับสนุนการใช้งาน AI ไม่ว่าจะเป็น Cloud หรือ Cybersecurity ที่จะเติบโตควบคู่ไปด้วย โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์กำไรใน 12 เดือนข้างหน้า จะเติบโตกว่า 17.4% กับกลุ่มที่สอง เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานสะอาด (Renewable energy) ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างช่วงการผ่านจากนโยบายรัฐบาลทั่วโลก ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และได้แรงหนุนจาก AI และ Data Center ที่ใช้พลังงานสูงขึ้น ซึ่งตลาดคาดการณ์กำไรใน 12 เดือนข้างหน้าจะเติบโต 11.1%