4562 จำนวนผู้เข้าชม |
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ (SCB Julius Baer) เปิดเผยว่า การที่เศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังมีแนวโน้มจะฟื้นตัวในลักษณะ Out of the Woods ขานรับการเติมสต็อกสินค้ารอบใหม่จากจีนและยุโรป กระตุ้นการค้าโลกให้คึกคักมากขึ้น และพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังเข้มแข็ง พร้อมกับเพิ่มความหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายนที่กำลังจะมาถึงนี้ ทำให้การจับจังหวะลงทุนช่วงนี้ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
จากการวิเคราะห์ของ Julius Baer แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในหมวดอุตสาหกรรม ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรดีขึ้น รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการค้าที่กลับมาคึกคักขึ้น ซึ่งเป็นจะวัฏจักรขาขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เน้นไปที่หุ้นขนาดกลางที่มีคุณภาพ ซึ่งมูลค่าหุ้นมีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งราคาปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้มากแล้ว ซึ่งมีตัวเลือกในหลายตลาด อย่างตลาดหุ้นเยอรมนี ตลาดหุ้นสวิสเซอร์แลนด์
ขณะเดียวกัน ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นในธีม Next-Generation เหมือนเดิม โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI, Automation, Robotics และ Future Cities
สำหรับน้ำหนักในการลงทุน ยังคงแนะนำให้ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ แต่อาจขยายขอบเขตออกไปนอกเหนือกลุ่ม 7 นางฟ้า เพิ่มเติม พร้อมกับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมนี ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นจีน ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ ให้น้ำหนักไปที่ตลาดหุ้นบราซิล ตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม ยังแนะนำให้แบ่งเงินลงทุนในตลาดตราสารหนี้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มผลตอบแทนพอร์ต เพราะการเข้าลงทุนช่วงนี้มีโอกาสสร้างกำไรในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้เกิน 5% จากราคาตราสารที่จะปรับเพิ่มขึ้น ชดเชยดอกเบี้ยที่เริ่มเป็นขาลง รวมถึงการหาประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ควรเน้นลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีคุณภาพมากกว่าพันธบัตรภาครัฐ โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และยุโรป เช่นเดียวกับทองคำที่ยังน่าสนใจจากการเป็นเครื่องมือป้องกันความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์