JMART ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน ครึ่งปีหลังกำไรโตแกร่ง การฟื้นตัวของ JMT ตัวชี้ขาด

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายปิยะ พงษ์อัชฌา นายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ และ นายเอกชัย สุขุมวิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) นำทีมผู้บริหารบริษัทในเครือ ทั้งนายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท (J) นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอสจี แคปปิตอล (SGC) ร่วมด้วยนายดุสิต สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท โมบาย (J Mobile) นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส (J Ventures) และ นาย ฮยอน วู โน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล (KBJ) ร่วมให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนว่า ธุรกิจของกลุ่ม JMART ยังแข็งแกร่ง พร้อมกลับมาเติบโตตามแผนที่วางไว้ หลังจากสามารถแก้ Pain Point จากการตั้งสำรองที่สูงของ SINGER และ SGC ได้เป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับเร่งยกระดับกำไรของ JMT และ J ในฐานะเรือธง (Flagship) ของกลุ่ม พร้อมเก็บเกี่ยวรายได้จากการลงทุนในสุกี้ตี๋น้อย เพื่อพลิกผลดำเนินงานจากขาดทุนในปีก่อน มาเป็นกำไรอย่างโดดเด่นตามแผนที่วางไว้ ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจ และบรรยากาศการลงทุนจะยังไม่สดใสก็ตาม รวมถึงสร้าง New S-Curve ที่เน้นด้าน Commerce Tech และ Fintech รองรับฐานกำไรที่แข็งแรงในอนาคต

โดยภาพรวมธุรกิจไตรมาส 2 ของ JMT ยังจัดเก็บกระแสเงินสดได้ใกล้เคียงไตรมาสแรกที่ผ่านมา แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจบ้าง ส่วนหนึ่งเป็นผลสำเร็จจากการปรับแผนติดตามหนี้ ด้วยการเจรจากับลูกค้าอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และเริ่มดำเนินการทยอยฟ้องร้องลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ แต่มีปัญหาในการเรียกเก็บหนี้ 150,000 บัญชี ซึ่งเชื่อว่า จะทำให้ลูกหนี้กลุ่มนี้กลับมาทยอยจ่ายหนี้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และยอดการจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) สูงขึ้น เห็นผลชัดเจนในครึ่งปีหลัง   

สำหรับแผนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มในครึ่งปีหลัง วางงบลงทุนไว้ 2,000 ล้านบาท ซื้อหนี้ไม่มีหลักประกัน กลุ่มบัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนสูงเกิน 12% เพิ่มมูลค่าพอร์ตหนี้ให้สูงขึ้นจากสิ้นไตรมาสแรก ซึ่งอยู่ที่ 5.23 แสนล้านบาท รองรับการเติบโตในระยะต่อไปอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง

ส่วน J ผู้นำธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน (คอมมูนิตี้ มอลล์) พร้อมเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ตามแผนผลักดันกำไรปีนี้ให้ทำสถิติสูงสุด (New High) ใหม่ ด้วยการเปิดเพิ่มคอมมูนิตี้ มอลล์ อีก 2 สาขาเป็น 9 สาขา ประเดิมด้วยการเปิดโครงการใหม่ JAS Green Village ประเวศ วันที่ 28 มิถุนายนนี้ ก่อนเปิดตัว JAS Green Village รามตำแหง ในวันที่ 20 กันยายนที่จะถึงนี้ เพื่อผลักดันรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส ขณะที่ธุรกิจใหม่ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ Senera Senior Wellness ปัจจุบันมี 2 โครงการ ภายใน JAS Green Village คู้บอน และบางบัวทอง จะเป็น Key Driver สร้างฐานกำไรอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ส่วนธุรกิจเช่าซื้อ ผ่าน SINGER และ SGC หลังเปิดตัวแคมเปญ Locked Phone ภายใต้สินเชื่อ SG Finance+ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ทิศทางไปได้สวย ทำให้พร้อมเดินหน้ารุกตลาดสินเชื่อสมาร์ทโฟนทั่วประเทศ เริ่มต้นเฟสแรกด้วยการจับมือ 3 แบรนด์ Xiaomi Oppo และ Vivo ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันประมาณ 47% จัดแคมเปญสำหรับสมาร์ทโฟนที่ร่วมรายการ ราคาเริ่มต้นที่ 8,000 บาท ระยะเวลาสัญญา 12 – 24 เดือน สามารถปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 8,200 สัญญา มียอดจัดเก็บเงินได้สูงถึง 98% ของพอร์ตรวม ทำให้ NPL อยู่ต่ำกว่า 1% ตามที่วางไว้ และกำลังเดินหน้าจับมือแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเติมพอร์ต โดยคาดว่า ถึงสิ้นปี จะสามารถปล่อยสินเชื่อได้แตะ 100,000 สัญญา คิดเป็นมูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท จากยอดปล่อยสินเชื่อรวมทุกผลิตภัณฑ์ที่ตั้งเป้าไว้ 5,000–6,000 ล้านบาท 

เฉพาะ SINGER ที่เป็นบริษัทแม่ของ SGC เตรียมระบายสต๊อก และลดสินค้ามือสองแบรนด์ต่างๆ ทั้งเพื่อเร่งยอดขายไตรมาส 2 ให้เติบโตจากไตรมาสแรกไม่ต่ำกว่า 25% และเพื่อปูทางสู่การนำสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า แบรนด์ระดับท๊อปในตลาด ควบคู่ไปกับการเพิ่มประเภทสินค้าที่ตอบไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า เพื่อผลักดันยอดขายครึ่งปีหลังให้เติบโต 50% จากครึ่งปีแรก   

ความสำเร็จจากจากแคมเปญ Locked Phone ทั้งสินเชื่อ SG Finance+ ที่ดำเนินการโดย SGC และสินเชื่อ Samsung Finance+ ที่บริหารโดยบริษัทร่วมทุน KBJ จำกัดเฉพาะสมาร์ทโฟนแบรนด์ Samdung เท่านั้น จะเปีนอีกกลไกผลักดันให้ยอดขายสมาร์ทโฟนของ J Mobile เติบโตแข็งแกร่งขึ้น นอกเหนือจากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยี AI เข้ามากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนเครื่องใหม่อย่างคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา  

ขณะที่ J Ventures ผู้พัฒนา JFIN Chain บล็อกเชนเพื่อธุรกิจ และแกนนำในการทำ Transformation ทั้งกลุ่ม JMART กำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม Insure Tech และ Comm Tech เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับทั้งกลุ่มในระยะกลางถึงยาว

สำหรับสุกี้ตี๋น้อย ที่ดำเนินการโดยบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป (BNN) ซึ่ง JMART ถือหุ้นในสัดส่วน 30% เชื่อมั่นว่า จะสามารถสร้างการรับรู้กำไรได้อย่างประทับใจเช่นเดียวกันปีก่อน จากแผนขยายสาขาในหัวเมืองต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ เพิ่มยอดขายจากสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้ดีตามแผนที่วางไว้ โดยตั้งเป้าสิ้นปีนี้ มีสาขาเพิ่มจาก 67 สาขาเป็น 79 สาขา ขณะเดียวกัน ยังมีแผนขยายแบรนด์ใหม่ๆ รูปแบบ ป๊อปอัพ สโตร์ (Pop-up Store) เพื่อตอบความต้องลูกค้าให้ครบทุกกลุ่ม ก่อนเดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม กระแสตอบรับจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และนักกลยุทธ์ 6 สำนัก ประกอบด้วย บัวหลวง (BLS) ดาโอ (DAOL) ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) เคจีไอ (KGI) กรุงศรี (KSS) และลิเบอเรเตอร์ (LIB) ยังมองว่า ต้องรอดูความชัดเจนจากแผนงานเหล่านี้ต่ออีกสักระยะ เพราะยังมีความกังวลความสามารถในการจัดเก็บหนี้ของ JMT ในไตรมาส 2 ว่า จะแย่ลงกว่าไตรมาสแรก ทำให้ ECL อาจจะเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งการปรับลดแผนลงทุนซื้อหนี้เสียมาบริหารในครึ่งปีหลังเหลือแค่ 2 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจมีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด

ทำให้ในเบื้องต้น มีการปรับลดประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้า และหั่นมูลค่าเหมาะสมของ JMT ลงจากเดิมกว่า 10% โดย KGI ให้มูลค่าพื้นฐานต่ำที่สุด ที่ 15 บาท ส่วน DAOL ประเมินที่ 16.40 บาท ขณะที่ BLS กับ FSS ให้ไว้เท่ากัน ที่ 17.00 บาท ขณะที่ KSS ให้ราคาเหมาะสมที่ 18.60 บาท และ LIB ให้ราคาสูงสุด ที่ 22.40 บาท แม้จะปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลงมา 12% ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยตาม IAA Concensus ถูกปรับลดลงมาจาก 20 บาท เหลือ 18 บาท