ทิสโก้เปิด 3 Theme ลงทุนปีมังกร รับดอกเบี้ยขาลง

4014 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ทิสโก้เปิด 3 Theme ลงทุนปีมังกร รับดอกเบี้ยขาลง


นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุน TISCO WEALTH และนายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) บมจ. ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ชี้แจงว่า การที่เศรษฐกิจปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัวลง รับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเกือบทั้งปี 2566 ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยน่าจะเพียงพอแล้ว และมีสัญญาณว่าธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะทยอยตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวลงมากเกินไป ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) เปลี่ยนทิศเป็นขาลง ซึ่งเมื่อศึกษาการเคลื่อนไหวของระหว่าง Bond yield อายุ 10 ปี และราคาสินทรัพย์ต่างๆ พบว่าการลดลงของ Bond yield จะส่งผลบวกโดยตรงกับพันธบัตรรัฐบาลมากที่สุด รองลงไปเป็นหุ้นกู้ ทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น TISCO WEALTH จึงแนะนำการลงทุนใน 3 ธีม ดังนี้ 

1. สินทรัพย์ผู้ชนะ (The Asset Winners) ได้แก่ ตราสารหนี้ (Bond) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอและได้ประโยชน์เมื่อ Bond Yield กลับทิศเป็นขาลง โดยผู้ลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากทั้งอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ ที่อยู่ในระดับสูง และได้รับส่วนต่างจากราคาหน้าตั๋วที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกด้วย  

ซึ่ง TISCO WEALTH แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AA- ขึ้นไป มีอายุเฉลี่ยระยะกลางถึงยาว และอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ เพราะคาดว่าจะได้รับอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุมากกว่า 5% และเพิ่มโอกาสรับส่วนต่างราคาหน้าตั๋ว กว่า 10%  

อีกสินทรัพย์หนึ่งก็คือ REITs ที่ในช่วงปี 2565 ถึง 2566 ราคาปรับตัวลดลงราว 20-30% จากภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก จนปัจจุบันมูลค่า (Valuation) ของ REITs อย่าง สหรัฐฯ สิงคโปร์ และไทยกลับมามีความน่าสนใจ โดยซื้อขายในระดับอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (Price to Book Value) ที่ -2 S.D. ที่ 1.86, 0.87, และ 0.80 เท่า ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะ REITs ที่เป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจสูง (CBD) ที่มีความต้องการใช้งานสูง ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และได้ประโยชน์จากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปตามเมกะเทรนด์โลก เช่น data center, industrial, warehouse, wellness  

 

 

ประการสำคัญ เมื่อศึกษาข้อมูลย้อนหลังกลับไปจนถึงปี 2538 โดยเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่าง Global REITs กับ Global equity ในช่วงหลังจากที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย พบว่าหลังจากนั้น 1 ปีต่อมา REITs สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 25% มากกว่าตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 15%

2. อุตสาหกรรมผู้ชนะ (The Sector Winners) ได้แก่ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (Technology) เพราะเป็นกลุ่มสินค้าและบริการที่มีความต้องการในการใช้งานสูง และเติบโตตามเมกะเทรนด์ของโลก ทำให้ผลดำเนินงานไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ราคาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ยังปรับขึ้นน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก สวนทางกับภาพรวมการเติบโตของผลประกอบการปี 2567 ของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่สูงที่สุดถึง 18.8% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น 

สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แนะให้เลือกลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ A.I. เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ส่งเสริมเชิงบวกต่อองค์กรมากที่สุดในหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalue) เพราะผลดำเนินงานปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 17% และในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นกลุ่มที่ได้รับการปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรปี 2567 ถึง 8.5% สูงที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น  

3. ประเทศผู้ชนะ (The Country Winners) ได้แก่ หุ้นกลุ่มประเทศกลุ่มเอเชียเหนือ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ และไต้หวัน กับหุ้นเวียดนาม เพราะเป็นประเทศที่มีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต และมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของตลาดสูงกว่า 20%  

 

 

โดยตลาดหุ้นกลุ่มเอเชียเหนือ เป็นกลุ่มประเทศต้นน้ำที่สำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และ Semiconductor โดยเฉพาะเกาหลีใต้ เห็นได้จากรัฐบาลเกาหลีใต้ได้พัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) และกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทในเกาหลีมีการเติบโตแบบ Scaleup ราว 376 บริษัท โดย 25% ของบริษัทเหล่านี้เน้นพัฒนาเทคโนโลยี A.I. อีกทั้ง Bloomberg ยังคาดว่าในปี 2567 กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในเกาหลีใต้จะขยายตัวจากปีก่อนหน้าถึง 54% ขณะที่กองทุนส่วนใหญ่ยังคงลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในเกาหลีใต้เมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิง ทำให้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้จะได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund flows) 

ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม มีปัจจัยบวกคือจากอัตราการเติบโตของ EPS ในปี 2567 ที่โดดเด่นถึง 29.6% สูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ทำให้อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (Forward P/E) ของตลาดหุ้นเวียดนามยังซื้อขายในระดับต่ำ เพียง 9.39 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตโควิด และช่วงที่ปราบปรามคอร์รัปชันที่เกิดจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2565 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามยังได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่กลับมาเป็นขาลง หนุนให้นักลงทุนรายย่อยที่เป็นผู้เล่นหลักของตลาด โยกเม็ดเงินจากเงินฝากธนาคารมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น อีกทั้งยังมีแนวโน้มนักลงทุนต่างชาติหวนกลับมาลงทุน รับประเด็นการเลื่อนสถานะตลาดเป็น Emerging Market ซึ่งจะหนุนให้ Valuation ตลาดปรับขึ้นไปซื้อขายในระดับค่า P/E ที่สูงขึ้นในอนาคต 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน รับ Theme ดอกเบี้ยขาลง ปีนี้ TISCO WEALTH แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) ตราสารหนี้ และทองคำ ส่วนหุ้นให้เลือกลงทุนเน้นรายอุตสาหกรรม เช่น Healthcare และ Tech ขณะที่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และ REIT แนะให้รอจังหวะเข้าซื้อ เมื่อตลาดมีการ price-in ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ชัดเจนขึ้น 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้