3918 จำนวนผู้เข้าชม |
นายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เงินเทอร์โบ (TURBO) ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ หรือสามารถเข้าถึงแต่ได้รับบริการไม่ครบถ้วน ภายใต้แบรนด์ "เงินเทอร์โบ” เปิดเผยว่า ทาง บมจ. ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ทำให้พร้อมเดินหน้าแผนเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 537 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ ที่ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อระดมทุนมาใช้สำหรับขยายธุรกิจให้บริการทางการเงิน รวมถึงลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต อีกส่วนหนึ่งนำไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับโอกาสทางธุรกิจ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ (TSC) และ บมจ. หลักทรัพย์ กสิกรไทย (KS) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม
ทั้งนี้ เงินเทอร์โบเริ่มต้นธุรกิจจากการเป็น Startup เล็กๆ ในปลายปี 2560 แต่การมีจุดแข็งเรื่องการลงทุนในเทคโนโลยีของตนเองอย่างต่อเนื่องแบบ Cloud Native ทำให้ บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ได้เข้ามาร่วมลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ผ่านบริษัทย่อย K-Vision และใช้เวลาเพียง 6 ปี เติบโตเป็นหนึ่งในผู้เล่นแถวหน้าในอุตสาหกรรมให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้ารายย่อย ด้วยทีมงานกว่า 2,300 คน และเครือข่ายสาขา 892 แห่ง กระจายในพื้นที่ 52 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยขนาดสินทรัพย์รวม 10,598 ล้านบาท จากการให้บริการผ่าน 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจสินเชื่อ และธุรกิจนายหน้าประกันภัย
สำหรับผลดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ช่วง 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2563-65) ขยายตัวจาก 697.3 ล้านบาท ในปี 2563 มาอยู่ที่ 1,266.3 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1,781.7 ล้านบาท ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ หนุนให้กำไรเติบโตก้าวกระโดดจาก 43.4 ล้านบาท ในปี 2563 มาเป็น 235.5 ล้านบาท และ 350.3 ล้านบาท ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ
ขณะที่ผลดำเนินงานช่วงครึ่งแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 1,085.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย ที่ขยายตัวตามการเติบโตของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน อย่างสินเชื่อจำนำทะเบียน สินเชื่อโฉนดที่ดิน สูงระดับ 65-70%
อย่างไรก็ตาม กำไรกลับลดลง 57.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 88.7 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการตัดจำหน่ายหนี้สูญให้มีความระมัดระวัง (Conservative) มากขึ้น ทำให้มีการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นเป็น 209.9 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 4 เท่าตัว เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าที่ลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่บริษัทฯ มีการรุกปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์สูงขึ้น โดยมีสัดส่วนใกล้เคียงกับรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ที่ระดับ 11%
อย่างไรก็ดี การที่บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดแข็งในการทำธุรกิจอย่างเต็มตัว ทำให้มั่นใจได้ว่า TURBO จะสามารถนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างขีดจำกัดใหม่ในการทำงานตลอดเวลา รวมถึงรักษาข้อได้เปรียบในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ภายใต้การบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และมีต้นทุนดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน