2814 จำนวนผู้เข้าชม |
นางมัลลิกา แก่กล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี (DEXON) เปิดเผยว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติให้บริษัทฯ สามารถเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 123.18 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.85% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ทำให้บริษัทฯ พร้อมเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุน 5 จังหวัด คือ จังหวัดระยองในวันที่ 10 มีนาคม จังหวัดขอนแก่นในวันที่ 13 มีนาคม จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 14 มีนาคม จังหวัดสงขลาในวันที่ 15 มีนาคม และปิดท้ายที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 17 มีนาคม ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากบริษัทฯ มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง จากการมีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ รวมถึงเครื่องมือ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับสากล ในการให้บริการตรวจสอบทางวิศวกรรม ทั้งด้านโครงสร้าง การก่อสร้าง และอุปกรณ์การผลิตสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ผลิตไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีฐานลูกค้ากว่า 2,000 ราย กระจายตัวในทุกทวีป และได้รับการยอมรับในเวทีโลก มานานกว่า 26 ปี
โดยการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้ขยายธุรกิจไปยังเนเธอร์แลนด์ เพื่อต่อยอดการทำธุรกิจในทวีปยุโรป รวมถึงจัดตั้งบริษัทย่อยในอเมริกา เพื่อขยายฐานธุรกิจในทวีปอเมริกา และอเมริกาใต้ เน้นไปที่การให้บริการตรวจสอบทางวิศวกรรมระบบท่อด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง (Smart Pigging Technology) ซึ่งเป็นตลาดที่มีคู่แข่งน้อยราย และบริษัทฯ มีความได้เปรียบจากการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิผลสูง สามารถตรวจสอบรอยแตกขนาดเล็กในระบบท่อส่งที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษได้อย่างประสิทธิภาพ
อีกส่วนหนึ่ง บริษัทฯ จะใช้ในการลงทุนด้านงานวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด อย่างการตรวจสอบระบบท่อส่งเพื่อรองรับการแปลงไปสู่การใช้งานของก๊าซไฮโดรเจน (Hydrogen Energy Conversion) เพื่อดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แทนที่การใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ส่วนที่เหลือ บริษัทฯ จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว
ขณะที่นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บมจ. หลักทรัพย์ ฟิลลิป ประเทศไทย (PLS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่เสร็จสิ้นการโรดโชว์แล้ว พร้อมกำหนดวันเสนอขายหุ้น IPO และประกาศราคา IPO อย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยมีความเป็นไปได้ว่า อาจเห็น DEXON ยกระดับธุรกิจขึ้นเป็นบริษัทจดทะเบียนน้องใหม่ในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ได้ในไตรมาสแรกปีนี้
การระดมทุนครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ให้บริษัทฯ สามารถขยายการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจรได้อย่างครอบคลุม และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ผ่านบริษัทย่อยทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี พีทีอี ลิมิเต็ด (DTS) ที่ให้บริการลูกค้าในสิงคโปร์และประเทศข้างเคียง บริษัท เด็กซ์ซอน เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ (DTC) ที่ให้บริการการฝึกอมรบเพื่อยกระดับความรู้ความสามารถแก่บุคลากรทั้งภายในและภายนอก รวมถึง บริษัท เด็กซ์ซอน เมคคานิคอล โซลูชั่นส์ (DMS) ที่ให้บริการงานออกแบบทางวิศวกรรม งานประกอบ งานโครงสร้าง และงานให้บริการบุคลากรทางด้านเครื่องกล และซ่อมบำรุงทั้งในส่วนงานท่อ และโครงสร้าง ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี และบริษัท เด็กซ์ซอน ยุโรป บีวี (DEBV) ในเนเธอร์แลนด์ ที่ให้การดำเนินงานครอบคลุมลูกค้าในทวีปยุโรป และช่วยให้บริษัทฯ ได้ประโยชน์ทางภาษีตามที่กำหนดไว้ในสัญญาว่าด้วยการเก็บภาษีซ้ำซ้อน (Double Tax Treaty) ภายในปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนจะจัดตั้งบริษัทย่อยในอเมริกาเพื่อขยายขอบเขตการให้บริการตรวจสอบท่อโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Advance Inline Inspection) แก่ลูกค้าในอเมริกา ครอบคลุมถึงอเมริกาใต้ ซึ่งมีปริมาณท่อส่งที่จะต้องได้รับการตรวจสอบจำนวนมหาศาลในปีหน้าอีกด้วย
สำหรับผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด (ปี 2563-65) DEXON มีการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง จาก 11.05 ล้านบาท ในปี 2563 เพิ่มเป็น 18.15 ล้านบาท ในปี 2564 ทั้งที่รายได้จากการขายและบริการจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดกดดันให้รายได้ทรงตัวที่ 438.97 ล้านบาท และ 433.46 ล้านบาท ตามลำดับ ก่อนจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในปีที่ผ่านมา เมื่อบริษัทฯ สามารถเดินทางไปให้บริการในต่างประเทศได้มากขึ้น หนุนให้รายได้ปรับเพิ่มขึ้นมาที่ 608.51 ล้านบาท ขณะที่กำไรเติบโตก้าวกระโดดเป็น 105.15 ล้านบาท สาเหตุจากการได้งานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มในปีที่ผ่านมา อีกทั้งบริษัทฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจากระดับ 30.5% ขึ้นมาที่ 41.8%