SMART คาดรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% หลังปีก่อนขยายตัว 24.5% เกินเป้า

บมจ. สมาร์ทคอนกรีต (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูง เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร รายงานผลดำเนินงานปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 572.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 459.48 ล้านบาท จำนวน 112.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.55 % สาเหตุจากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง และอิฐมวลเบาเพิ่มขึ้น ทั้งจากการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง และโครงการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หนุนด้วยราคาจำหน่ายอิฐมวลเบาที่ปรับเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากต้นทุนเชื้อเพลิงและวัตถุดิบการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.90 ล้านบาท หรือลดลง 2.27% มาอยู่ที่ 38.96 ล้านบาท 

โอกาสนี้ บริษัทฯ เตรียมจ่ายปันผลสำหรับรอบบัญชีปีที่ผ่านมา ในอัตราหุ้นละ 0.0365 บาท  กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 9 พฤษภาคมนี้ ก่อนจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 พฤษภาคม ตามมา

ขณะเดียวกัน นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ SMART ให้ความเห็นถึงแนวโน้มธุรกิจไตรมาสแรกปีนี้ว่า ยังคงสดใสต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ผลักดันให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เร่งก่อสร้าง และทยอยเปิดโครงการใหม่ ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร วางแผนปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่อรองรับการท่องเที่ยว อีกทั้งการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคภาครัฐ  และโครงการการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC เดินหน้าก่อสร้างตามแผน ส่งผลให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง และอิฐมวลเบาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ที่ 630 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 10% 

โดยเพื่อเร่งการเติบโตของยอดขาย บริษัทฯ จะเพิ่มความสำคัญในการทำตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคให้ง่ายขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา มีกระแสตอบรับที่ดี ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการทำการตลาดแบบออฟไลน์ ด้วยการขยายสินค้าจำหน่ายผ่านดีลเลอร์ ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และโมเดิร์นเทรด ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าที่เป็นผู้ใช้โดยตรง เช่น เจ้าของบ้าน สถาปนิก ผู้รับเหมาขนาดกลางและย่อย ให้สามารถเข้าถึงสินค้าได้สะดวก ผ่านเครือข่ายสาขาทั่วประเทศของไทวัสดุ 64 สาขา โกลบอลเฮ้าส์ 68 สาขา และดูโฮม 20 สาขา เพื่อให้สอดรับกับโครงสร้างรายได้จากงานโครงการภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งอยู่ที่ 40% และ 60% ตามลำดับ