2976 จำนวนผู้เข้าชม |
การเข้าซื้อขายวันแรกของ บมจ. เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB) ผู้นำธุรกิจจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) ผ่านแพลตฟอร์ม meb และ readAwrite ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับอ่านวรรณกรรมออนไลน์ระดับแนวหน้าของประเทศ ไม่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายประชาชนครั้งแรก (IPO) แต่อย่างใด เมื่อราคาหุ้นยืนเหนือจองได้ทั้งวัน โดยหลังจากเปิดตลาดที่ 45 บาท สูงกว่าราคาจองที่ 28.50 บาท ถึง 16.50 บาท หรือเกินจอง 57.89% มีแรงซื้อหนุนราคาหุ้นทะยานทำจุดสูงสุดของวันที่ 49 บาท ก่อนจะเจอแรงขายทำกำไร กดราคาให้ปรับลงมา แต่ก็ไม่หลุด 43.25 บาท และแกว่งแคบๆ ในกรอบ 43-44 บาท ก่อนจะเผชิญแรงขายโถมออกมาในภาคบ่าย กดราคาแตะจุดต่ำสุดในรอบวันที่ 42.25 บาท จนเริ่มมีแรงซื้อกลับช่วงปลายตลาด หนุนราคาหุ้นกลับขึ้นมาและปิดที่ 44.25 บาท สูงกว่าราคาจอง 15.75 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 55.26% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 3,057.25 ล้านบาท
โอกาสนี้ นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง (BLS) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น ชี้แจงว่า การที่ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีมูลค่าการซื้อขายอย่างคึกคัก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐาน ทั้งความเป็นผู้นำธุรกิจวรรณกรรมออนไลน์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งเมื่อพิจารณาจากรายได้รวม มีศักยภาพในการเติบโตโดดเด่น มีการใช้เทคโนโลยีผสมผสานกับคอนเทนต์ที่น่าสนใจทำให้ได้รับการตอบรับที่ดี อีกทั้งทีมผู้บริหารมีความตั้งใจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะนำคอนเทนต์ต่างๆ ของนักเขียนไทยไปแปลเป็นภาษาต่างชาติสู่ตลาดสากล สร้างรายได้จากฐานลูกค้าใหม่ โดยอาศัยความเป็นบริษัทในเครือ บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพิ่มความได้เปรียบในการขยายธุรกิจในอนาคต
ขณะที่นายรวิวร มะหะสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MEB ขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้การตอบรับหุ้น MEB อย่างดี พร้อมยืนยันว่า ทีมผู้บริหารและพนักงานบริษัทฯ พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มและระบบการดำเนินงานเพื่อสร้างประสบการณ์ที่พิเศษให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยประยุกต์เอาประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 11 ปี ตลอดจนความเข้าใจในความต้องการของกลุ่มนักอ่านและนักเขียน และความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินมาต่อยอดธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ การควบรวมกิจการ หรือเข้าซื้อกิจการในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน
สำหรับเป้าหมายระยะสั้น บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ยเป็นเลขสองหลัก พร้อมกับรักษาฐานรายได้จากจำนวนผู้ใช้บริการเฉลี่ยต่อเดือน (Monthly Active User หรือ MAU) ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 6.29 ล้านราย จากจำนวนผู้ใช้งานประมาณ 8.20 ล้านราย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้และกำไรโดดเด่นมาตลอดนับตั้งแต่ปี 2562 เรื่อยมา
โดยรายได้รวมเพิ่มจาก 618.72 ล้านบาท ในปี 2562 เป็น 1,004.68 ล้านบาท และ 1,456.38 ล้านบาท ในปี 2563 และปี 2564 ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิเร่งตัวจาก 82.09 ล้านบาท ในปี 2562 เป็น 164.74 ล้านบาท และ 275.34 ล้านบาท ในปี 2563 และปี 2564 ตามลำดับ ขณะที่รายได้รวมช่วง 9 เดือนแรกปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,263.54 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 22.46% เช่นเดียวกับกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 23.83% เป็น 241.85 ล้านบาท