คาด TEGH โชว์ All time high 2-3 ปีนี้ ต่อเนื่อง แม้แนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 4 ไม่สวย ธุรกิจยางยังเป็นตัวนำ

2654 จำนวนผู้เข้าชม  | 

คาด TEGH โชว์ All time high 2-3 ปีนี้ ต่อเนื่อง แม้แนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 4 ไม่สวย ธุรกิจยางยังเป็นตัวนำ


นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) เปิดเผยแผนธุรกิจปีนี้ว่า น่าจะเห็นการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% หนุนโดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจยางธรรมชาติ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ และการขยายกำลังการผลิตในธุรกิจพลังงานทดแทน และบริหารจัดการกากอินทรีย์

โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเน้นการผลิตสินค้าเกรดพรีเมี่ยม และให้ความสำคัญกับสินค้ามาตรฐานความยั่งยืน (FSC) ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ หลังจากยอดขายมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับได้มีการทำสัญญาตลอดทั้งปีกับลูกค้าบางรายแล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายตลาดยางแท่งไปในกลุ่มประเทศที่มีความต้องการสูง อย่างอินเดียและจีน เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้สูงขึ้น จากที่มีสัดส่วนรายได้ในตลาดอินเดีย 10% และจีน 8% โดยตั้งเป้าสัดส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางทั้งในและต่างประเทศ ในสัดส่วน 50% ใกล้เคียงกัน 

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนขยายกำลังการผลิตยางแท่งเพิ่มอีก 130,000 ตัน จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตปีละ 320,000 ตัน เพื่อรองรับการเติบโตในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เห็นผลชัดเจนปีหน้าเป็นต้นไป  



ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ บริษัทฯ คาดว่าปีนี้จะพลิกผลดำเนินงานจากขาดทุนมาเป็นกำไร ทั้งจากการเพิ่มธุรกรรมซื้อมาขายไปมากขึ้น และยอดขายที่เติบโตขึ้น ตามตัวเลขเปอร์เซ็นต์การสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (%OER) ที่สูงขึ้น ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนหลังโครงการติดตั้ง Boiler ลูกใหม่เสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สำหรับธุรกิจผลิตพลังงานทดแทน และการบริหารจัดการกากอินทรีย์ คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้นตามแผนขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ ระยะที่ 1 ที่พร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในไตรมาสแรกนี้ ช่วยให้สามารถรับกากอินทรีย์ได้เพิ่มขึ้นวันละ 300 ตัน ทำให้ความสามารถในการรับบริหารจัดการกากอินทรีย์เพิ่มเป็นปีละ 720,000 ตัน ช่วยให้สามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้เพิ่มขึ้นอีกวันละ 30,000 ลูกบาศก์เมตร เป็นปีละ 34 ล้านลูกบาศก์เมตร

อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินโครงสร้างรายได้จากทั้ง 3 ธุรกิจ คาดว่าจะมีสัดส่วนใกล้เคียงปีที่ผ่านมา โดยธุรกิจยางธรรมชาติ ยังคงเป็นฐานรายได้หลัก ประมาณ 75% รองลงไปเป็นธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ 24% ที่เหลือมาจากธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ และธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจร่วมทุน และโลจิสติกส์




แผนธุรกิจข้างต้น ได้รับเสียงสนับสนุนจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากหยวนต้า (YUANTA) ว่า การเติบโตของทั้งธุรกิจยางพารา และธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ ขณะที่ธุรกิจพลังงานทดแทนจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าภายในบริษัทฯ ได้ราว 50 ล้านบาท จะช่วยขับเคลื่อนให้กำไรปกติปีนี้ขยายตัว 10.8% เป็น 892 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ (All time high) ได้ต่อจากปีก่อน

TEGH ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่ การมีจุดเด่นของสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่ง และ Upside จากการขาย Carbon Credit รวมถึงรายได้ใหม่ที่เกิดจากการซื้อกิจการ หรือร่วมลงทุนอย่างน้อย 1 ดีลในปีนี้ คิดเป็นราคาเป้าหมายที่ 7.20 บาท

ขณะที่กสิกรไทย (KS) บอกว่า แม้กำไรไตรมาสสุดท้ายปีก่อนมีแนวโน้มจะต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดไว้ สาเหตุจากราคายางในตลาดโลกปรับลดลงอย่างมาก เช่นเดียวกับยอดขายที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล กดดันให้ปรับลดประมาณการกำไรทั้งปีลง 9% เป็น 802 ล้านบาท แต่ยังคงประมาณการกำไรนี้ และปีหน้าตามเดิม เพราะเชื่อว่า กำไรของ TEGH จะฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาสแรก โดยเติบโตทั้งรายปี (YoY) และรายไตรมาส (QoQ)

ขับเคลื่อนโดยการฟื้นตัวของธุรกิจยาง ทั้งราคายางในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และยอดขายที่คาดจะดีขึ้น QoQ จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิตยางรถยนต์ในจีนรับการเปิดประเทศอีกครั้ง หนุนให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตตามไป คิดเป็นราคาเป้าหมายที่ 6.20 บาท อิงประมาณการกำไร 2 ปีนี้ เติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 20%  

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้