2922 จำนวนผู้เข้าชม |
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส ประเทศไทย (DBSTH) ให้น้ำหนัก Overweight ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรก เพราะไทยมีปัจจัยหนุนมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ทั้งการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง (ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20% ของ GDP) ผนวกกับ 5 มาตรการภาษีที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องในไตรมาสแรก อีกทั้งยังจะมีเม็ดเงินสะพัดจากการหาเสียงเลือกตั้ง ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย นอกจากนี้ ยังน่าจะเห็นเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค (Mild recession) เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว และเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดเติบโตได้ในระดับ 3.7-3.8%
สำหรับความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน คาดจะเติบโตจากปีก่อน 5% เป็น 103.8 ทำให้ประเมินดัชนีเป้าหมายปีนี้ได้ที่ 1,760 จุด อิง P/E ที่ 17 เท่า
ส่วนหุ้นแนะนำ ค่าย DBSTH ชี้ไปที่หุ้น 5 ธีม ได้แก่
- ธีมท่องเที่ยว ให้น้ำหนักกับ AOT, BA, CENTEL, ERW
- ธีมกำลังซื้อฟื้น หนุนโดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเงินสะพัดจากการเลือกตั้ง ได้แก่ BJC, CPALL, CPN, HMPRO
- ธีมพลังงานสะอาด เน้นไปที่ BGRIM, GPSC
- ธีม Value Plays ชอบ ADVANC, BBL, KBANK
- ธีมปันผลสูง เลือก AP, LH, PTT
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นครึ่งปีแรกยังมีแรงกดดันจากหลายปัจจัยเสี่ยง เช่น เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าคาด ทำให้การส่งออกเติบโตน้อยกว่าคาด แรงกดดันเงินเฟ้อและนโยบายดอกเบี้ย ทำให้บรรยากาศการลงทุนมีโอกาสผันผวนเหมือนในรอบปีที่ผ่านมา ทำให้กลยุทธ์การลงทุน ควรซื้อสะสมเพื่อลงทุน โดยเฉพาะเมื่อราคาอ่อนตัว
ด้านฝ่ายวิจัย กสิกรไทย (KS) บอกว่า แม้ภาพเศรษฐกิจเอเชียและเศรษฐกิจไทยจะดูดีขึ้น อีกทั้งจีนยังผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ หนุนให้ดุลบริการและดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้น จะเอื้อให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อน่าจะอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1-3% แต่เมื่อใช้มุมมองอย่างระมัดระวัง จากทั้งความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความผันผวนของดอกเบี้ยและค่าเงิน ราคาโภคภัณฑ์ ทำให้ประเมินดัชนีเป้าหมายปีนี้ที่ 1,757 จุด อิง EPS ปีหน้าที่ 113 บาท และ P/E ที่ 15.55 เท่า เทียบเท่า -0.5SD ซึ่งดูไม่แพงหากพิจารณาจาก PER และ P/BV แต่ก็ไม่ถูก หากพิจารณาจาก earnings yield gap ทำให้กำหนดธีมลงทุน เน้นไปที่หุ้นซึ่งได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในรูปแบบ K-shaped พร้อมเลือกหุ้นเด่น 12 ตัว ได้แก่ BCP, PRM, KTB, BAM, SC, AAI, CRC, CPN, BDMS, MINT, ADVANC และ TEGH
ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า (YUANTA) ชู 3 ธีมลงทุน ได้แก่ ธีมหุ้นที่มีปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น การเปิดประเทศของจีน การฟื้นตัวของธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติก่อนเกิดโควิด หรือกระแสรักษ์โลก (Rebalance) ธีมหุ้นกลับมาเติบโตโดดเด่น (Reborn) และธีมหุ้นที่เป็นเกราะกำบังลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอย (Recession) คัดเลือกหุ้นได้ทั้งหมด 18 ตัว
ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน (CNS) ประเมินดัชนีเป้าหมายปีนี้ที่ 1,800 จุด อิง EPS ปีนี้ที่ 105 บาท เติบโต 6% แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการเปิดประเทศของจีน (China Reopening) จะช่วยเพิ่มอัตราเร่งให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยพลิกกลับมาเป็นบวก 4.5% ของ GDP หนุนเศรษฐกิจไทยปีนี้และปีหน้าให้เติบโตสูง 3.8%
ส่วนพอร์ตลงทุนแนะนำเป็น Barbell Portfolio ที่ยืดหยุ่น เน้น Domestic Plays ซึ่งได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคเป็นหลัก ใน 5 กลุ่ม
- กลุ่ม Consumer และ Reopening ที่เติบโตไปกับธีม China Reopening (AAV, AOT, CPALL, CRC, SCGP,AMATA, SPA)
- กลุ่ม Anti-Commodity ที่ได้ประโยชน์ราคาพลังงานผ่านจุดสูงสุด และกระแส EV Ecosystem กำลังเติบโต (GPSC, GULF)
- กลุ่ม Farm Income ที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินหมุนเวียนคึกคักรับการเลือกตั้ง (CBG, MC, ONEE, SAPPE และ ICHI)
- กลุ่ม High Growth (BE8) ที่จะเป็นกลุ่มแรกที่ตลาดพิจารณาดึงสถานะกลับหลังจากการเร่งปรับดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรับมือเงินเฟ้อพ้นจุดที่แย่สุด แต่กำไรต้องเติบโตคาดหวังได้จริง หรือกลุ่ม Value (BBL, BAM) กลุ่มหุ้นคุณค่าที่มี Valuation ถูก และพ้นจุดที่แย่สุดไปแล้ว อีกทั้งตลาดมีความคาดหวังน้อย
ซึ่งเมื่อคัดกรองหุ้น Top pick ค่าย CNS แนะนำหุ้นขนาดใหญ่ 11 ตัว ประกอบด้วย AAV, AOT, AMATA, CPALL, CRC, GPSC, GULF, SCGP, CBG, BAM และ BBL ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก (Mid-Small Cap) มี 6 ตัวเลือก คือ SPA, ICHI, SAPPE, BE8, ONEE และ MC